tag:blogger.com,1999:blog-34126731568372733802024-03-13T08:26:05.720-07:00สุขศึกษาeinghttp://www.blogger.com/profile/16631351927710035216noreply@blogger.comBlogger15125tag:blogger.com,1999:blog-3412673156837273380.post-31053646809034225102012-02-28T03:49:00.001-08:002012-02-28T03:50:43.474-08:00ไทย-คิวบา 2011 FIVB World Grand Prix (Group B) เซตที่ 5<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><object class="BLOGGER-youtube-video" classid="clsid:D27CDB6E-AE6D-11cf-96B8-444553540000" codebase="http://download.macromedia.com/pub/shockwave/cabs/flash/swflash.cab#version=6,0,40,0" data-thumbnail-src="http://3.gvt0.com/vi/bU_Odm8qrec/0.jpg" height="266" width="320"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/bU_Odm8qrec&fs=1&source=uds" /><param name="bgcolor" value="#FFFFFF" /><embed width="320" height="266" src="http://www.youtube.com/v/bU_Odm8qrec&fs=1&source=uds" type="application/x-shockwave-flash"></embed></object></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div>einghttp://www.blogger.com/profile/16631351927710035216noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3412673156837273380.post-14730611962521084992012-02-28T03:44:00.000-08:002012-02-28T03:44:00.511-08:00พื้นฐานรูปแบบการเล่นของทีมวอลเลย์บอล<div align="center"><img id="img_preview" src="http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/793/22793/images/Theory/14/14-2.gif" /></div>วอลเลย์บอล เป็นกีฬาที่ต้องเล่นเป็นทีมที่ประกอบด้วยผู้เล่นหลายคน ในการสร้างทีมวอลเลย์บอลจึงต้องพิจารณาองค์ประกอบต่าง ๆ ของการเล่นวอลเลย์บอลเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับทีม โดยองค์ประกอบในการเล่นที่ควรพิจารณาคือ1. ตำแหน่งการเล่นของผู้เล่นในทีม2. ตำแหน่งของผู้เล่นที่ลงสนาม 6 คน3. รูปแบบการรับลูกเสริฟ4. รูปแบบการรุก5. รูปแบบการรองบอล6. รูปแบบการรับ ตำแหน่งของผู้เล่นในทีมกระบวนการเริ่มแรกของการสร้างทีมวอลเลย....einghttp://www.blogger.com/profile/16631351927710035216noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3412673156837273380.post-55037964384872307882012-02-28T03:41:00.002-08:002012-02-28T03:41:35.257-08:00กติกาวอลเลย์บอล<strong>การแข่งขัน</strong><br />
ใช้การเสี่ยงเลือกเสิร์ฟหรือเลือกแดน ก่อนแข่งให้วอร์มที่ตาข่าย 3 ถึง 5 นาที ถ้าทั้ง 2 ทีม ตกลงวอร์มพร้อมกันให้วอร์มที่ตาข่ายได้ 6 – 10 นาที <br />
<b>ตำแหน่งของผู้เล่น</b><br />
ในขณะที่ผู้เสิร์ฟทำการเสิร์ฟ ผู้เล่นแต่ละคนต้องอยู่ในแดนของตน ผู้เล่นแถวหน้า 3 คน แถวหลังแต่ละคนจะต้องอยู่ด้านหลังของคู่ของตนทีเป็นผู้เล่นแถวหน้า การเล่นผิดตำแหน่งจะเป็นฝ่ายแพ้ในการเล่นลูกครั้งนั้น การหมุนตำแหน่งต้องหมุนตามเข็มนาฬิกา <br />
<b>การเปลี่ยนตัวผู้เล่น</b><br />
เปลี่ยนตัวได้มากสุด 6 คนต่อเซต แต่ละครั้งจะเปลี่ยนกี่คนก็ได้ ผู้ที่เริ่มเล่นในเซตนั้น จะเปลี่ยนตัวออกได้ 1 ครั้งและกลับเข้ามาเล่นได้อีก 1 ครั้ง ในตำแหน่งเดิม ผู้เล่นสำรองจะเปลี่ยนตัวเข้าไปเล่นได้เพียงครั้งเดียวในแต่ละเซต และผู้เปลี่ยนเข้ามาต้องเป็นผู้เล่นคนเดิม <br />
<b>การเล่นลูกบอล</b><br />
ผู้เล่นสามารถที่จะนำลูกบอลจากนอกเขตสนามกลับเข้ามาเล่นต่อได้ ทีมหนึ่งสามารถถูกลูกบอลได้มากที่สุด 3 ครั้ง ยกเว้นเมื่อทำการบล็อก (ได้ 4 ครั้ง) ผู้เล่นหนึ่งคนจะถูกลูกบอล 2 ครั้ง ติดต่อกกันไม่ได้ ยกเว้นการบล็อกถ้าผู้เล่นถูกลูกพร้อมกัน 3 คน ก็ถือว่าถูก 3 ครั้ง ถ้าถูกพร้อมกันเหนือตาข่ายก็จะไม่นับ ถ้าลูกบอลออกถือว่าฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามทำออก ถ้ายึดลูกบอลเหนือตาข่ายจะต้องเล่นใหม่ ลูกบอลที่ชนตาข่ายยังเล่นต่อไปได้จนครบ 3ครั้ง ตามกำหนดยกเว้นการเสิร์ฟ <br />
<b>การเสิร์ฟ</b><br />
จะเสิร์ฟโดยผู้เล่นที่อยู่ในตำแหน่งหลังขวาที่อยู่ในเขตเสิร์ฟ การกำหนดทีมที่จะเสิร์ฟ ลูกแรกในเซตที่ 1 และ 5 โดยการเสี่ยง ต้องเสิร์ฟตามลำดับที่บันทึกไว้ เมื่อโยนออกไปเพื่อเสิร์ฟแล้ว ต้องใช้มือหรือส่วนใดของแขนข้างเดียว กระโดดเสิร์ฟได้ ต้องเสิร์ฟลูกภายใน 5 วินาที หลังจากผู้ตัดสินเป่านกหวีด ถ้าเสิร์ฟพลาดไม่ถูกลูก ผู้ตัดสินจะให้เสิร์ฟใหม่ภายใน 3 นาที <br />
<b>การตบลูกบอล</b><br />
ผู้เล่นในแดนหน้าสามารถตบลูกบอลด้วยวิธีใดก็ได้จากแดนของตนเองในความสูง ทุกระดับ โดยในขณะที่สัมผัสลูกบอลนั้น ลูกบอลจะต้องอยู่ในแดนของตนเองเพียงส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดก็ได้ ส่วนผู้เล่นในแนวหลังสามารถกระโดดตบลูกได้ แต่จะต้องตบจากเขตแดนหลัง การตบลูกบอลดังกล่าวหากไม่เป็นตามกติกาข้อนี้ถือว่าเสีย <br />
<b>การบล็อก</b><br />
ผู้เล่นแถวหน้าเท่านั้นที่บล็อกได้ จะบล็อกเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มก็ได้ เมื่อบล็อกได้แล้วยังถูกลูกได้อีก 3 ครั้งห้ามบล็อกลูกเสิร์ฟ สามารถใช้ส่วนต่างๆ ของร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้าถูกลูกบอลได้<br />
การล้ำแดนผิดระเบียบ ก่อนหรือระหว่างการตบของคู่ต่อสู้ หรือสัมผัสลูกบอลในแดนคู่ต่อสู้เข้าไปในแดนคู่ต่อสู้ขณะที่ลูกบอลยังอยู่ใน การเล่น และตัวผู้เล่นถูกตาข่ายหรือเสาอากาศถือเป็นการล้ำแดนที่ผิดกติกา <br />
<b>การขอเวลานอก</b><br />
ขอได้ 2 ครั้งต่อเซต ไม่ให้เปลี่ยนตัว 2 ครั้งต่อเนื่องกัน การขอเวลานอกมีเวลา 30 วินาที ในระหว่างการขอเวลานอกผู้เล่นทุกคนต้องออกไปอยู่บริเวณเขตรอบสนามใกล้ม้า นั่ง <br />
<b>การเปลี่ยนตัวมากกว่า 1 คน</b><br />
ให้แจ้งก่อนและเปลี่ยนทีละคู่ตามลำดับ <br />
<b>เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น</b><br />
ถ้ามีเหตุระหว่างเล่นให้หยุด แล้วเล่นลูกนั้นใหม่ถ้ามีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องหยุดนานไม่เกิน 4 ชม.ถ้าทำการแข่งขันใหม่ใช้สนามเดิม เซตที่หยุดการแข่งขันจะนำมาแข่งขันตามปกติ ถ้าใช้สนามอื่นให้ยกเลิกเซตนั้นแล้วเริ่มต้นใหม่ ผลของเซตที่ผ่านมามีผลเหมือนเดิม ถ้าหยุดเกิน 4 ชั่วโมงต้องเริ่มแข่งใหม่ทั้งหมด <br />
<b>การหยุดพัก</b><br />
พักระหว่างเซตแต่ละเซตพักได้ไม่เกิน 30 วินาที ส่วนการพักเซตที่ 4 และเซตที่ 5 พักได้ 5 นาที ทั้งสองทีมต้องตั้งแถวที่แนวเส้นหลังทันทีที่ผู้ตัดสินเรียกลงสนามแข่ง ขันต่อ และเมื่อสิ้นสุดการแข่งขันในแต่ละเซต ทั้งสองทีมต้องเปลี่ยนแดนกัน นอกจากเซตตัดสิน <br />
<b>การเปลี่ยนแดน</b><br />
เมื่อเสร็จแต่ละเซตทั้ง 2 ทีมจะต้องเปลี่ยนแดนยกเว้นเซตตัดสิน เซตตัดสินทีมใดได้ 8 คะแนนน ให้เปลี่ยนแดนทันทีและตำแหน่งของผู้เล่นเป็นตามเดิม <br />
<b>ข้อห้ามของผู้เล่น</b><br />
ห้ามมิให้ผู้เล่นสวมเครื่องประดับที่เป็นโลหะของแข็งในระหว่างการแข่งขันทุกชนิด <br />
<b>มารยาทของผู้เล่น</b><br />
ผู้เล่นต้องยอมรับผลการแข่งขัน สุภาพอ่อนโยนต่อผู้ตัดสินและฝ่ายตรงข้าม ไม่ควรแสดงท่าทางและทัศนะคติที่ใม่ดีระหว่างแข่งขันหรือแสดงพฤติกรรมอื่นใด ที่ไม่เป็นการสุภาพต่อผู้อื่นeinghttp://www.blogger.com/profile/16631351927710035216noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3412673156837273380.post-6651599328346533792012-02-28T03:39:00.001-08:002012-02-28T03:39:10.134-08:00ความเป็นผู้มีน้ำใจนักกีฬา<table align="center" background="background/001.gif" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody>
<tr> <td height="25"><div align="center"><b><strong><span style="font-size: medium;"><a href="http://www.kruchai.net/teach001.html#top">ความเป็นผู้มีน้ำใจนักกีฬา</a></span></strong></b></div></td> </tr>
</tbody></table><b><span style="font-size: x-small;"><br />
<span style="font-family: Microsoft Sans Serif,MS Sans Serif,sans-serif; font-size: small;"> <strong><span style="font-family: Microsoft Sans Serif,MS Sans Serif,sans-serif;">ลักษณะของความเป็นผู้มีน้ำใจนักกีฬาคือ จะแพ้ หรือชนะไม่สำคัญ ข้อสำคัญคือ <br />
ได้มีส่วนร่วมในการแข่งขัน และได้ทำการแข่งขันอย่างเต็มความสามารถ เชื่อฟังผู้ตัดสิน<br />
ไม่ฝ่าฝืนกฏกติกาของการเล่น รู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภัย ฯลฯ ซึ่งมีหลักการปฏิบัติเพื่อแสดง<br />
ความเป็นผู้มีน้ำใจนักกีฬา คือ<br />
๑. ปฏิบัติตามกฏกติกาของการเล่น<br />
๒. ซื่อสัตย์สุจริตต่อคู่แข่งขัน และเพื่อนฝูง<br />
๓. เป็นผู้รู้จักข่มใจ รักษาสติไม่ให้โมโหโทโส<br />
๔. เป็นผู้ที่รักษาสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ<br />
๕. หากปราชัยก็ทำใจให้หนักแน่น<br />
๖. หากมีชัยก็ไม่แสดงความภูมิใจจนออกนอกหน้า<br />
๗. เป็นผู้ที่ผุดผ่องทั้งกาย วาจา ใจ อยู่เสมอ<br />
๘. เล่นกีฬาเพื่อชั้นเชิงของการกีฬา ไม่ใช่เล่นกีฬาเพื่อจะทะเลาะวิวาทกัน<br />
๙. เป็นผู้มีใจโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผือแผ่</span></strong> <br />
<strong><span style="font-family: Microsoft Sans Serif,MS Sans Serif,sans-serif;">๑๐.เป็นผู้สุภาพอ่อนโยน<br />
๑๑.เป็นผู้มีใจคอกว้างขวาง<br />
๑๒.เป็นผู้มีความอดทน กล้าหาญ<br />
๑๓.เป็นผู้มีความเชื่อฟังและเคารพต่อเหตุผล<br />
๑๔.เป็นผู้รักษาความยุติธรรม<br />
๑๕.เป็นผู้รู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภัย</span></strong></span></span></b>einghttp://www.blogger.com/profile/16631351927710035216noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3412673156837273380.post-62615519281898898712012-02-28T03:38:00.003-08:002012-02-28T03:38:21.472-08:00ความปลอดภัยในการเล่นกีฬาวอลเลย์บอล<div align="center"><b><span style="font-family: Microsoft Sans Serif,MS Sans Serif,sans-serif; font-size: medium;"><a href="http://www.kruchai.net/teach001.html#top">ความปลอดภัยในการเล่นกีฬาวอลเลย์บอล</a></span></b></div><b><span style="font-size: x-small;"><br />
<span style="font-family: Microsoft Sans Serif,MS Sans Serif,sans-serif; font-size: small;">การเล่นกีฬาทุกประเภทย่อมก่อให้เกิดการพัฒนาทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์<br />
และสังคมอย่างแน่นอน ส่วนจะเกิดการพัฒนาหรือผู้เล่นกีฬาจะได้รับประโยชน์มาก<br />
หรือน้อย นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับเกมกีฬา วิธเล่น ระยะเวลา ของการเล่นกีฬา และปัจจัยอื่น<br />
หลายประการ แต่อย่างไร ก็ตามการเล่นกีฬาที่ไม่เหมาะสมกับสภาพของร่างกาย สุขภาพ<br />
อนามัย กาลเทศะ หรือความพอดีใน การออกกำลังกายแล้วอาจก่อให้เกิดอันตราย<br />
ขึ้นได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ การเล่นกีฬาจึงควรได้พิจารณาเกี่ยวกับหลักความปลอดภัย<br />
ในหลาย ๆ ด้าน สำหรับการเล่นกีฬาวอเลย์บอลให้ปลอดภัย ควรปฏิบัติดังนี้<br />
<br />
๑. ก่อนเล่นกีฬาวอลเลย์อลทุกครั้งต้องอบอุ่นร่างกายเสียก่อน โดยเฉพาะข้อมือ<br />
ข้อเท้า เข่า ฯลฯ ให้มาก<br />
๒. ต้องแต่งกายชุดเล่นกีฬาให้เหมาะสมกับการเล่นกีฬาวอลเลย์บอล<br />
๓. ต้องตรวจสอบอุปกรณ์และสนามให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย มั่นคงแข็งแรง<br />
พร้อมที่จะฝึกซ้อมได้ <br />
๔. ต้องเล่นด้วยความระมัดระวัง และเล่นตามหลักการและวิธีการของการเล่น<br />
กีฬาวอลเลย์บอล<br />
๕. ไม่ล้อเลียนหรือกลั่นแกล้งกันในขณะฝึกซ้อม<br />
๖. ไม่เล่นหรือฝึกซ็อมจนเกินกำลังความสามารถของร่างกายและไม่เล่นหักโหม<br />
๗. ควรจะฝึกจากท่าที่ง่ายไปหาท่าที่ยากขึ้นและฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไป<br />
๘. ไม่ควรฝึกซ้อมในที่ที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ง่าย<br />
๙. ไม่ควรฝึกซ้อมในสนามกลางแจ้งในขณะที่มีฝนตก ฟ้าร้อง หรือแดดร้อนจัด<br />
๑๐. ไม่ควรฝึกซ้อมหรือเล่นวอลเลย์บอลหลังอิ่มอาหารใหม่ ๆ </span></span></b>einghttp://www.blogger.com/profile/16631351927710035216noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3412673156837273380.post-88506909942172877732012-02-28T03:38:00.001-08:002012-02-28T03:38:07.223-08:00การบำรุงรักษาอุปกรณ์กีฬาวอลเลย์บอล<div align="center"><b><span style="font-size: medium;"><a href="http://www.kruchai.net/teach001.html#top">การบำรุงรักษาอุปกรณ์กีฬาวอลเลย์บอล</a></span></b></div><b><span style="font-size: x-small;"><br />
<span style="font-family: Microsoft Sans Serif,MS Sans Serif,sans-serif; font-size: small;"> อุปกรณ์การเล่นวอลเลย์บอลควรได้รับการดูแลและเก็บรักษาให้ดี เพื่อให้มี<br />
ประสิทธิภาพในการใช้งานให้ นานที่สุด เพื่อความประหยัดและเป็นการปลูกฝัง<br />
ให้ผู้เล่นเกิดนิสัยรักความมีระเบียบ โดยมีหลักปฏิบัติดังนี้<br />
๑. มีชั้นหรือตู้เก็บอุปกรณ์ไว้โดยเฉพาะ และควรเก็บแยกประเภทให้เรียบร้อยเพื่อ<br />
สะดวกในการนำมาใช้<br />
๒. อุปกรณ์ที่ชำรุด เช่น ส่วนหนึ่งส่วนใดของตาข่ายขาดให้รีบซ่อมแซมทันที การปล่อย<br />
ทิ้้งไว้จะทำให้ เสียหาย มากขึ้น<br />
๓. อย่าขึงตาข่ายไว้กลางแจ้งให้ถูกแดดฝนเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้ตาข่าย<br />
ชำรุดเสียหายอายุการใช้งาน ไม่นานเท่าที่ควร<br />
๔. อย่าให้ลูกวอลเลย์บอลที่ทำด้วยหนังถูกน้ำนาน ๆ เพราะจะเป็นการเพิ่มน้ำหนัก<br />
ให้มากขึ้น ควรใช้ผ้าเช็ดให้แห้งทันทีก่อนที่จะนำลูกบอลมาเล่นต่อไป<br />
๕. ทำความสะอาดลูกบอลทุกครั้งด้วยการใช้ผ้าแห้งเช็ด ก่อนที่จะนำไปเก็บ<br />
๖. การสูบลมหรือปล่อยลมออกจากลูกบอลควรใช้เข็มที่ใช้กับลูกวอลเลย์บอลโดยเฉพาะ <br />
ถ้าใช้ของแหลมชนิดอื่นจะทำให้ลูกวอลเลย์บอลชำรุดได้ง่าย<br />
๗. หมั่นเช็ด กวาด ถู พื้นสนามเล่นให้สะอาดอยู่เสมอ<br />
๘. อย่าสูบลมให้ลูกวอลเลย์บอลแข็งจนเกินไป จะทำให้หนังของลูกวอลเลย์บอลปริ <br />
มีอายุ การใช้งานน้อย<br />
๙. หลังจากเล่นกีฬาวอลเลย์บอลเสร็จแล้วต้องผ่อนตาข่ายที่ขึงตึง ให้หย่อนลง </span></span></b>einghttp://www.blogger.com/profile/16631351927710035216noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3412673156837273380.post-8055313877120152562012-02-28T03:36:00.004-08:002012-02-28T03:36:30.737-08:00มารยาทของผู้ชมกีฬาวอลเลย์บอลที่ดี<div align="center"><b><a href="http://www.kruchai.net/teach001.html#top"><span style="font-family: Microsoft Sans Serif,MS Sans Serif,sans-serif; font-size: medium;">มารยาทของผู้ชมกีฬาวอลเลย์บอลที่ดี</span></a></b></div><br />
<strong><span style="font-family: Microsoft Sans Serif,MS Sans Serif,sans-serif; font-size: small;">วัตถุประสงค์ที่สำคัญในการดูกีฬาก็เพื่อเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ หาความสนุกสนาน <br />
เพลิดเพลิน ช่วย คลายความตึงเครียด และเป็นการเสริมสมรรถภาพทางด้านจิตใจ<br />
ให้มีความสุข ผู้ดูกีฬาที่ดีต้องทำใจให้ได้ว่า แพ้หรือชนะก็ตาม ต้องไม่แสดงพฤติกรรม<br />
หรือกริยามารยาท ที่ไม่สุภาพเรียบร้อยทั้งคำพูด หรือท่าทาง ซึ่งอาจเป็นเหตุก่อให้เกิด<br />
การทะเลาะวิวาท ดังนั้นผู้ดูกีฬาที่ดีพึงปฏิบัติดังนี้<br />
</span></strong> <strong><span style="font-family: Microsoft Sans Serif,MS Sans Serif,sans-serif; font-size: small;">๑. แสดงความยินดีด้วยการปรบมือให้แก่ผู้เล่นที่เล่นดี มีมารยาทดี<br />
๒. ไม่เชียร์ในสิ่งที่เป็นการเสียดสีในทางไม่ดีต่อทีมใดทีมหนึ่ง<br />
๓. ไม่กระทำตัวเป็นผู้ตัดสินเสียเอง เช่น การตะโกนด่าว่าผู้ตัดสิน เป็นต้น<br />
๔. ไม่กระทำสิ่งใด ๆ ที่ทำให้ผู้ตัดสินหรือเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ปฏิบัติงานไม่สะดวก<br />
๕. นั่งชมด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยในที่ที่จัดไว้ให้ ไม่ยืนเกะกะบังผู้อื่น<br />
๖. ปรบมือให้เกียรติเมื่อกรรมการผู้ตัดสิน และนักกีฬาลงสู่สนาม<br />
๗. ไม่กล่าวถ้อยคำ ส่งเสียงโห่ร้องหรือแสดงกิริยาเยาะเย้ยถากถางผู้เล่นที่เล่นผิดพลาด หรือผู้ตัดสินตัดสินไม่เป็นไปตามความต้องการของตนเอง <br />
๘. ปรบมือแสดงความยินดีแก่ผู้ชนะ ผู้เล่นที่ได้รับรางวัล<br />
๙. ไม่แสดงกริยาท่าทาง ส่งเสียง ยั่วยุ ให้ผู้เล่น ไม่มีสมาธิหรือเกิดการทะเลาะวิวาท<br />
๑๐.ไม่แสดงกริยาที่ไม่สุภาพ หรือใช้สิ่งของขว้างปานักกีฬา กรรมการตัดสิน หรือผู้ชม<br />
๑๑. ควรรู้กติกาการแข่งขันกีฬาที่ตนดู<br />
๑๒. การชมเป็นหมู่คณะควรจะนั่งรวมกันเป็นกลุ่ม และเชียร์ด้วยเพลง และภาษาที่สุภาพ<br />
๑๓. ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้ในการดูกีฬา<br />
๑๔. ช่วยห้ามปรามหรือตักเตือนเพื่อนฝูง ไม่ให้ก่อเหตุวุ่นวายขึ้ในการดูกีฬา<br />
๑๕. ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยเมื่อเกิดเหตุวุ่นวาย<br />
ในสนาม<br />
๑๖. ติดตาม สนับสนุน ให้กำลังใจ และให้เกียรตินักกีฬาทุกประเภท เพื่อเป็นการส่ง เสริมการกีฬาของชาติ</span></strong>einghttp://www.blogger.com/profile/16631351927710035216noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3412673156837273380.post-68587124474085444132012-02-28T03:36:00.002-08:002012-02-28T03:36:16.868-08:00มารยาทของผู้เล่นกีฬาวอลเลย์บอลที่ดี<div align="center"><b><span style="font-family: Microsoft Sans Serif,MS Sans Serif,sans-serif; font-size: medium;"><a href="http://www.kruchai.net/teach001.html#top">มารยาทของผู้เล่นกีฬาวอลเลย์บอลที่ดี</a></span></b></div><span style="font-family: Microsoft Sans Serif,MS Sans Serif,sans-serif; font-size: x-small;"><strong> <br />
<span style="font-size: small;">การเล่นกีฬาทุกชนิดย่อมมีการแสดงออกถึงพฤติกรรมต่างๆ ทางด้านร่างกาย<br />
ที่สอดคล้องกับ กติกาข้อบังคับ ระเบียบและลักษณะของกีฬา แต่ละประเภท ซึ่งผู้เล่น<br />
จะต้องประพฤติปฏิบัติให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเหมาะสมกับจรรยานักกีฬา<br />
จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล่นที่มีมารยาทดี หากผู้เล่นประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสม ไม่ถูก<br />
ระเบียบกติกา จะทำให้ผู้ดูรอบสนามและผู้เกี่ยวข้องติเตียนได้ อีกทั้งเป็นสาเหตุ<br />
ที่ก่อให้เกิดการทะเลาะ วิวาทขึ้น ดังนั้นผู้เล่นกีฬาวอลเลย์บอล ควรจะคำนึงถึง<br />
มารยาทที่ดีดังนี้</span></strong></span><strong><span style="font-family: Microsoft Sans Serif,MS Sans Serif,sans-serif; font-size: small;"><br />
</span> </strong> <strong><span style="font-family: Microsoft Sans Serif,MS Sans Serif,sans-serif; font-size: small;">๑. แต่งกายด้วยชุดที่เหมาะสมกับการเล่นวอลเลย์บอล ในการแข่งขันนั้นผู้เล่นต้อง<br />
แต่งกายตามกติกา แต่ในการเล่นทั่วไปเพื่อความสนุกสนานหรือเพื่อออกกำลังกาย<br />
ควรจะแต่งกายให้เหมาะสม บางคนสวมรองเท้าแตะหรือแต่งชุดไปเที่ยวลงเล่น<br />
เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บระหว่างการเล่นได้ <br />
๒. ไม่แสดงกิริยาเสียดสีล้อเลียน หรือกล่าวถ้อยคำที่ไม่สุภาพต่อผู้เล่นฝ่ายเดียวกัน<br />
หรือฝ่ายตรงข้าม หรือผู้ชม <br />
๓. เล่นตามกติกาที่กำหนดไว้ โดยปฏิบัติตามระเบียบกติกาการเล่นอย่างเคร่งครัด<br />
๔. มีความสุภาพเรียบร้อย แสดงความเป็นมิตรและให้เกียรติแก่ผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม<br />
ก่อนและ หลังการแข่งขันเสร็จสิ้นลงควรจับมือผู้เล่น ของทีมตรงข้ามไม่ว่าทีม<br />
จะแพ้หรือชนะก็ตาม <br />
๕. ไม่โต้เถียงหรือแสดงกิริยาอาการที่ไม่เหมาะสมแก่ผู้ตัดสินในการตัดสิน <br />
๖. มีใจคอหนักแน่น อดทน อดกลั้น และสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ <br />
ถึงแม้ว่าผู้เล่นฝ่ายเดียวกันผิดพลาดก็ไม่ควรแสดงอาการไม่พอใจ<br />
๗. เชื่อฟังคำสั่งของหัวหน้าทีม และโค้ช<br />
๘. มีความรับผิดชอบในหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมาย<br />
๙. รู้จักระงับอารมณ์ เมื่อเกิดการยั่วยุจากฝ่ายตรงข้าม<br />
๑๐.เมื่อเล่นกีฬาแพ้หรือชนะไม่ควรดีใจหรือเสียใจจนเกินไป<br />
๑๑.การเล่นกีฬาต้องเล่นอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าตนเองจะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะ<br />
๑๒.ต้องมีน้ำใจนักกีฬารู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย<br />
๑๓.มีความตั้งใจในการฝึกซ้อม และมีความอดทน<br />
๑๔.มีความอดกลั้นและไม่ใช้อารมณ์รุนแรง<br />
๑๕.ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นในขณะฝึกซ้อมหรือแข่งขัน<br />
๑๖. หลังจากการฝึกซ้อมหรือเล่นแล้วควรเก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อย</span></strong>einghttp://www.blogger.com/profile/16631351927710035216noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3412673156837273380.post-43604201466508478562012-02-28T03:35:00.001-08:002012-02-28T03:35:20.122-08:00ประโยชน์ของการเล่นกีฬาวอลเลย์บอล<div align="center"><b><span style="font-family: Microsoft Sans Serif,MS Sans Serif,sans-serif; font-size: medium;"><a href="http://www.kruchai.net/teach001.html#top">ประโยชน์ของการเล่นกีฬาวอลเลย์บอล</a></span></b></div><b><span style="font-size: x-small;"> <span style="font-family: MS Sans Serif,Tahoma,sans-serif; font-size: small;"> การเล่นกีฬาเป็นการออกกำลังกายชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าการออกกำลังกาย<br />
เป็นยาขนานวิเศษ ดังคำกล่าวที่ว่า"กีฬา กีฬา เป็นยาพิเศษ"วอลเลย์บอลเป็นกีฬา<br />
ที่ทำให้ผู้เล่นเกิดประโยชน์ดังนี้<br />
<br />
<span style="color: blue;"> ๑. วอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่ฝึกหัดเล่นให้เป็นได้ง่ายและเล่นได้ทุกเพศทุกวัย เมื่อเล่น<br />
วอลเลย์บอลเป็นแล้ว จะทำให้ผู้เล่นสามารถเล่นกีฬาได้นานกว่ากีฬาบางประเภท ซึ่งคุ้ม<br />
กับที่ได้ฝึกฝนมาแม้แต่สตรีที่มีบุตร แล้วหากมีร่างกายแข็งแรงก็สามารถเข้าร่วม<br />
การแข่งขันได้เป็นอย่างดี</span><br />
<br />
<span style="color: #990000;"> ๒. วอลเลย์บอลเป็นกีฬาประเภททีม จึงต้องมีการฝึกซ้อมเพื่อให้การเล่นในทีม<br />
มีความสัมพันธ์และรักใคร่ ปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากทีมใดขาด<br />
ความสามัคคีแล้ว เมื่อลงแข่งขันย่อมจะมีชัยชนะได้ยาก ผลของการเล่นกีฬา<br />
ประเภทนี้จึงสามารถ นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ให้มีนิสัยรักใคร่สามัคคีกัน<br />
ระหว่างหมู่คณะมากยิ่งขึ้น</span><br />
<br />
<span style="color: blue;"> ๓. วอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่ช่วยฝึกฝนให้ผู้เล่นมีไหวพริบที่ชาญฉลาดและแก้ปัญหา<br />
อย่างฉับพลันทันที เพราะการเล่นวอลเลย์บอลนั้นผู้เล่นจะต้องเคลื่อนไหวร่างกาย<br />
อยู่ตลอดเวลา รวมทั้งต้องมีไหวพริบที่ดี สามารถตัดสินใจ และแก้ปัญหาเฉพาะหน้า<br />
ต่าง ๆ ได้จึงจะทำให้มีชัยชนะในการเล่น</span><br />
<br />
<span style="color: #990000;"> ๔. การเล่นวอลเลย์บอลเป็นการส่งเสริมและฝึกให้ผู้เล่นมีจิตใจเยือกเย็น สุขุม <br />
รอบคอบ อารมณ์มั่นคง มีสมาธิดี มีความเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะผู้เล่นที่อารมณ์ร้อน <br />
มุทะลุ ดุดัน เอาแต่ใจตนเอง จะทำให้การเล่น ผิดพลาดบ่อย ๆ ถ้าเป็นการแข่งขัน<br />
ก็จะแพ้ ฝ่ายตรงข้ามได้ง่าย ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อตัวผู้เล่น<br />
วอลเลย์บอล ที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันให้เกิด ประโยชน์ต่อตนเอง<br />
และสังคมอีกด้วย</span><br />
<br />
<span style="color: blue;"> ๕. วอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่เล่นได้โดยไม่จำกัดเวลา ถ้าหากผู้เล่นรู้จักการใช้เวลาว่าง<br />
ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งอาจ จะเล่นตอนเช้า สาย บ่าย เย็นหรือแม้แต่ในเวลากลางคืนก็ได้<br />
ถ้ามีแสงสว่างเพียงพอ และเล่นได้ทั้งในที่ร่ม หรือกลางแจ้ง</span><br />
<br />
<span style="color: #990000;"> ๖. การเล่นวอลเลย์บอล ผู้เล่นต่างก็อยู่ในแดนของตนเองและมีตาข่ายขึงกั้นกลางสนาม <br />
ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะปะทะกันระหว่างผู้เล่นทั้งสองฝ่าย จึงไม่ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท<br />
กันขึ้น</span><br />
<br />
<span style="color: blue;"> ๗. วอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่ช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพของผู้เล่นอย่างหนึ่ง เพราะผู้เล่น<br />
จะต้องถูกฝึกให้มีระเบียบ มีวินัย มีเหตุมีผล รู้จักการเป็นผู้นำผู้ตาม และมีความ<br />
รับผิดชอบในหน้าที่ของตน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นการ ปลูกฝังนิสัย อันมีผล<br />
ที่จะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย</span><br />
<br />
<span style="color: #990000;"> ๘.วอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่มีกฎกติกา ผู้เล่นต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎกติกาการเล่น <br />
ดังนั้นการเล่นวอลเลย์บอล ย่อมช่วยสอนให้ผู้เล่นรู้จักความยุติธรรม มีความอดทนอดกลั้น<br />
รู้จักเคารพสิทธิของผู้อื่น</span><br />
<br />
<span style="color: blue;"> ๙. วอลเลย์บอลเป็นกีฬาประเภทหนึ่ง ที่ช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพทางด้านร่างกาย<br />
ให้มีความสมบูรณ์ แข็งแรง เพราะผู้เล่นจะต้องฝึกให้ร่างกายแข็งแรง มีความอดทน <br />
มีความคล่องแคล่วว่องไว มีพลังและความเร็ว เมื่อร่างกายได้ออกกำลังกายแล้วยัง<br />
ช่วยให้ ระบบต่างๆ ภายในร่างกายได้ทำงานประสานสัมพันธ์กันเป็นอย่างดีและ<br />
มีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น เมื่อร่างกายแข็งแรงก็จะช่วยเพิ่มความสามารถ ของร่างกาย<br />
ให้มีความต้านทาน ได้ดีด้วย</span><br />
<br />
<span style="color: #990000;"> ๑๐. กีฬาวอลเลย์บอลเหมือนกับกีฬาประเภทอื่น ๆ ที่สร้างความมีน้ำใจนักกีฬา <br />
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การรู้จักแพ้ ชนะและอภัย นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือในการเป็น<br />
สื่อกลาง ก่อให้เกิดความสนิทสนมคุ้นเคยและมีสัมพันธ์ไมตรีอันดีต่อกัน <br />
ทั้งระหว่างภายในประเทศ และระหว่างประเทศได้อย่างดี</span><br />
<br />
<span style="color: blue;"> ๑๑. ปัจจุบันผู้เล่นวอลเลย์บอลที่มีความสามารถสูง ยังมีสิทธิ์ได้เข้ามาศึกษาต่อ<br />
ในระดับสูง บางสาขา บางสถาบัน ทั้งสถานการศึกษาของรัฐและเอกชน นอกจากนี้ยังมี<br />
หลายหน่วยงาน รับบุคคลที่เป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลเข้าทำงาน เพราะวอลเลย์บอลกำลัง<br />
เป็นกีฬาที่นิยม ของวงการทั่วไปและมีการแข่งขันกันอยู่เป็นประจำ</span></span></span></b>einghttp://www.blogger.com/profile/16631351927710035216noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3412673156837273380.post-48539444193473439222012-02-28T03:33:00.004-08:002012-02-28T03:33:46.795-08:00ประวัติกีฬาวอลเลย์บอลในประเทศ<div align="center"><b><span style="font-family: Microsoft Sans Serif,MS Sans Serif,sans-serif; font-size: medium;"><a href="http://www.kruchai.net/teach001.html#top"> ประวัติกีฬาวอลเลย์บอลในประเทศ</a></span></b></div><b><span style="color: blue;"> </span></b> <b><span style="font-size: x-small;"> </span></b><span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: Microsoft Sans Serif,MS Sans Serif,sans-serif; font-size: small;"><strong> กีฬาวอลเลย์บอลได้แพร่เข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อใด ไม่มีหลักฐานแน่ชัด<br />
แต่สันนิษฐานว่าชาวไทย บางกลุ่มได้เริ่มเล่นและแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลมาตั้ง<br />
แต่หลังสมัยสงครามโลก ครั้งที่ ๒ เป็นต้นมา <br />
<br />
ปี พ.ศ.๒๔๗๗ กรมพลศึกษาได้จัดให้มีการแข่งขันกีฬาประจำปี และบรรจุ<br />
กีฬาวอลเลย์บอลหญิงเข้าไว้ ในรายการแข่งขันเป็นครั้งแรก โดยใช้กติกาการเล่น<br />
ระบบ ๙ คน และตั้งแต่นั้นกีฬาวอลเลย์บอลก็พัฒนาขึ้นโดยตลอด <br />
<br />
ปี พ.ศ ๒๕๐๐ ประเทศไทยได้จัดตั้งสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลขึ้น โดยมี <br />
พลเอกสุรจิตร จารุเศรณี เป็นนายกสมาคมคนแรก เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๐ <br />
</strong></span></span><strong><span style="font-family: Microsoft Sans Serif,MS Sans Serif,sans-serif; font-size: small;"> และได้รับชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "สมาคมวอลเลย์บอลสมัครเล่นแห่งประเทศไทย<br />
" (Amature Volleyball Association of Thailand) <br />
<br />
ปัจจุบันกีฬาวอลเลย์บอลได้นิยมเล่นกันอย่าง แพร่หลายทั้งในโรงเรียน วิทยาลัย <br />
มหาวิทยาลัย และตามหน่วยงานต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีการจัดการแข่งขัน มากมาย<br />
หลายรายการ เป็นประจำทุกปี ดยการดำเนินงานของ สมาคมวอลเลย์บอล สมัครเล่น<br />
แห่งประเทศไทยและ หน่วยงานอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่ให้การสนับสนุน<br />
เป็นอย่างดี</span></strong>einghttp://www.blogger.com/profile/16631351927710035216noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3412673156837273380.post-53247669179600612402012-02-28T03:33:00.002-08:002012-02-28T03:33:23.884-08:00ประวัติกีฬาวอลเลย์บอลนอกประเทศ<div align="center"><b><span style="font-family: Microsoft Sans Serif,MS Sans Serif,sans-serif; font-size: medium;"><a href="http://www.kruchai.net/teach001.html#top">ประวัติกีฬาวอลเลย์บอลนอกประเทศ</a></span></b></div><b><span style="font-size: x-small;"> <span style="font-family: MS Sans Serif,Tahoma,sans-serif;"> <span style="font-size: small;">กีฬาวอลเลย์บอลเริ่มขึ้นเมื่อปี ๒๔๓๘ โดยนาย<span style="color: red;">วิล</span><span style="color: red;">เลียม จี มอร์แกน </span><br />
(William G. Morgan) ผู้อำนวยการฝ่ายพลศึกษาของสมาคมY.M.C.A.<br />
(Young Men's Christian Association) เมืองฮอลโยค (Holyoke) <br />
มลรัฐแมสซาซูเซตส์ (Massachusetts) ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผู้คิด<br />
เกมการเล่นขึ้น เนื่องจากในฤดูหนาวหิมะตกลงมา ู้คนทั่วไปไม่สามารถเล่นกีฬา<br />
กลางแจ้งได้ เขาได้พยายาม คิดและดัดแปลง กิจกรรมต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นกิจกรรม<br />
นันทนาการผ่อนคลายความตึงเครียดให้เหมาะสมกับฤดูกาล ขณะที่เขาดูการแข่งขัน<br />
เทนนิส เขาได้เกิดแนวความคิดที่จะนำลักษณะและวิธีการ เล่นของกีฬาเทนนิส<br />
มาดัดแปลงใช้เล่น จึงใช้ตาข่ายเทนนิสซึ่งระหว่างเสาโรงยิมเนเซียม สูงจากพื้น<br />
ประมาณ ๖ ฟุต ๖ นิ้ว และใช้<span style="color: red;">ยางในของลูกบาสเกตบอลส</span>ูบลมให้แน่น แล้วใช้มือและ<br />
แขนตีโต้ ข้ามตาข่ายกันไปมา แต่เนื่องจากยางใน ของลูกบาสเกตบอลเบาเกินไป<br />
ทำให้ลูกบอลเคลื่อนที่ช้าและทิศทางที่เคลื่อนไปไม่แน่นอน จึงเปลี่ยนมาใช้<br />
้ลูกบาสเกตบอล แต่ลูกบาสเกตบอลใหญ่ หนักและแข็งเกินไปทำให้มือของผู้เล่น<br />
ได้รับบาดเจ็บ ในที่สุดเขาจึงให้ บริษัท A.G. Spalding and Brother Company <br />
ผลิตลูกบอลที่หุ้มด้วยหนังและบุด้วย ยาง มีเส้นรอบวง ๒๕-๒๗ นิ้ว มีน้ำหนัก ๙-๑๒ ปอนด์ <br />
หลังจากทดลองเล่นแล้ว เขาจึงตั้งชื่อเกมการเล่นนี้ว่า "มินโตเนต" (Mintonette) <br />
<br />
ปี พ.ศ ๒๔๓๙ มีการประชุมสัมมนาผู้นำทางพลศึกษาที่วิทยาลัยสปริงฟิลด์ <br />
(Spring-field College) นายวิลเลียม จี มอร์แกน ได้สาธิตวิธีการเล่นต่อหน้าที่ประชุม<br />
หลังจากที่ประชุมได้ชมการสาธิต<span style="color: red;"> ศาสตราจารย์ อัลเฟรด ที เฮลสเตด </span><br />
( Alfred T. Helstead) ได้เสนอแนะให้มอร์แกนเปลี่ยนจากมินโตเนต (Mintonette) <br />
เป็น "วอลเลย์บอล" (Volleyball) โดยให้ความเห็นว่าเป็นวิธีการเล่นโต้ลูกบอล<br />
ให้ลอยข้ามตาข่ายไปมาในอากาศ โดยผู้เล่นพยายามไม่ให้ลูกบอล ตกพื้น<br />
<br />
ต่อมากีฬาวอลเลย์บอลได้แพร่หลายและเป็นที่นิยมเล่นกันในหมู่ประชาชน<br />
ชาวอเมริกันเป็นอย่างมาก เพราะเป็นเกมที่เล่นง่าย สามารถเล่นได้ตามชายทุ่ง<br />
ชายหาด และตามค่ายพักแรมทั่วไป<br />
<br />
ปี พ.ศ ๒๔๗๑ <span style="color: red;">ดอกเตอร์ จอร์จ เจ ฟิเชอร์ </span>( Dr.George J.Fisher ) <br />
ได้ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงกติกา การเล่นวอลเลย์บอล เพื่อใช้ในการแข่งขัน<br />
กีฬาวอลเลย์บอล ในระดับชาติ ซึ่งบุคคลผู้นี้เป็นผู้มีบทบาทอย่างมาก ในการเผยแพร่<br />
กีฬาวอลเลย์บอลจนได้รับสมญานามว่า <span style="color: red;">บิดาแห่งกีฬาวอลเลย์บอล </span> </span> </span></span></b>einghttp://www.blogger.com/profile/16631351927710035216noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3412673156837273380.post-13848417454674909142012-02-28T03:31:00.000-08:002012-02-28T03:31:10.524-08:00ประวัติวอลเลย์บอล<center><a href="http://202.129.0.133/createweb/00000//00000-638/pic1.jpeg"><img border="0" height="200" src="http://202.129.0.133/createweb/00000//00000-638/pic1.jpeg" width="132.74336283186" /></a></center> <br />
<dd> ประวัติกีฬาวอลเลย์บอล </dd><dd> </dd><dd> กีฬาวอลเลย์บอล (Volleyball) ได้เริ่มขึ้นในปีค.ศ.1895 หรือ พ.ศ. 2438 โดย William G. Morgan ผู้อำนวยการด้านพลศึกษาแห่งสมาคม Y.M.C.A. ( Young Mans Christian Association) เมืองโฮล์โยค ( Holyoke) มลรัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้เกิดขึ้นเพียง 1 ปี ก่อนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ ครั้งที่ 1 ณ กรุงเอเธนส์ โดยเขาได้พยายามคิดและดัดแปลงกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ใช้เป็นกิจกรรมนันทนาการหรือผ่อนคลายความตึงเครียดให้เหมาะสมกับฤดู กาล และเขาก็เกิดความคิดขึ้นในขณะที่ได้ดูเกมเทนนิส เพราะกีฬาเทนนิสเป็นกีฬาที่ต้องใช้อุปกรณ์ เช่น แร็กเกต ลูกบอล ตาข่าย และอุปกรณ์อื่นๆ อีกมาก จึงได้มีแนวคิดที่จะใช้ตาข่ายสูง 6 ฟุต 6 นิ้ว จากพื้นซุงเป็นระดับสูงกว่าความสูงเฉลี่ยของผู้ชาย และได้ใช้ยางในของลูกบาสเกตบอลมาทำเป็นลูกบอล แต่ปรากฏว่ายางในลูกบาสเกตบอลเบาและช้าเกินไป จึงได้ใช้ยางนอกของลูกบาสเกตบอล ซึ่งก็ปรากฏว่าใหญ่และหนาเกินไปไม่เหมาะสม ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2449 Morgan ได้ติดต่อบริษัท A.G.Spalding and Brother ให้ทำลูกบอลตัวอย่างขึ้น 1 ลูก โดยมีขนาดเส้นรอบวง 25-27 นิ้ว น้ำหนัก 9-12 ออนซ์ เพื่อนำมาใช้แทนลูกบาสเกตบอล </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ในต้นปี พ.ศ. 2439 ได้มีการประชุมสัมมนาผู้นำทางพลศึกษาที่วิทยาลัยสปริงฟิลด์ ในครั้งนั้น Dr. Luther Gulick ผู้อำนวยการโรงเรียนฝึกพลศึกษาอาชีพและกรรมการบริหารด้านพลศึกษาของสมาคม Y.M.C.A. ได้เชิญให้นาย William G. Morgan นำเกมนี้เข้าร่วมในการจัดนิทรรศการที่ New College Gymnasium โดยใช้ผู้เล่นฝ่ายละ 5 คน </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>นาย Morgan ได้อธิบายว่าเกมใหม่ชนิดนี้เรียกว่า มินโตเนต (Mintonette) เป็นเกมที่ใช้เล่นลูกบอลในโรงยิมเนเชียม แต่อาจจะใช้เล่นในสนามกลางแจ้งก็ได้ ซึ่งผู้สามารถเล่นลูกบอลโดยไม่มีสิ่งกีดขวางเหนือความสูงของตาข่ายจากด้าน หนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง การเล่นเป็นการผสมผสานกันระหว่างเกม 2 ประเภทคือ เทนนิส และ แฮนด์บอล </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ศาสตราจารย์ Alfred T. Halstead ผู้อำนวยการพลศึกษาแห่งวิทยาลัยสปริงฟิลด์ ซึ่งได้ชมการสาธิตได้ให้ข้อคิดเห็น และลงความเห็นว่า เนื่องจากเกมการเล่นส่วนใหญ่ลูกบอลจะต้องลอยอยู่ตลอดเวลา เมื่อตกลงพื้นก็ถือว่าผิดกฎเกณฑ์การเล่น จึงใช้ชื่อเกมการเล่นนี้ว่า วอลเลย์บอล ซึ่งในที่ประชุมรวมทั้งนาย Morgan ต่างก็ยอมรับชื่อนี้โดยทั่วกัน </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ในปี พ.ศ. 2495 คณะกรรมการบริหารสมาคมวอลเลย์บอลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เสนอให้ใช้ชื่อเป็นคำเดียวคือ Volleyball และนาย Morgan ได้แนะนำวิธีการเล่นให้แก่ Dr.Frank Wook ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ และ John Lynoh หัวหน้าหน่วยดับเพลิง โดยได้ร่วมกันร่างกฎเกณฑ์ในการเล่นขึ้น 10 ข้อ ดังนี้ </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>1.เกม (Game) เกมหนึ่งประกอบด้วย 9 อินนิ่ง (Innings) เมื่อครบ 9 อินนิ่ง ฝ่ายใดได้คะแนนมากว่าเป็นฝ่ายชนะ </dd><dd> </dd><dd>2. อินนิ่ง หมายถึง ผู้เล่นของแต่ละชุดได้เสิร์ฟทุกคน </dd><dd> </dd><dd>3. สนามเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 25 ฟุต ยาว 50 ฟุต </dd><dd> </dd><dd>4. ตาข่ายกว้าง 2 ฟุต ยาว 27 ฟุต สูงจากพื้น 6 ฟุต 6 นิ้ว </dd><dd> </dd><dd>5. ลูกบอลมียางในหุ้มด้วยหนังหรือผ้าใบ วัดโดยรอบไม่น้อยกว่า 25 นิ้วและไม่เกิน 27 นิ้ว มีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 9 ปอนด์ และไม่เกิน 12 ปอนด์ </dd><dd> </dd><dd>6. ผู้เสิร์ฟและการเสิร์ฟ ผู้เสิร์ฟจะต้องยืนด้วยเท้าหนึ่งบนเส้นหลัง และตีลูกบอลด้วยมือข้างเดียว อนุญาตให้ทำการเสิร์ฟได้ 2 ครั้ง เพื่อที่จะส่งลูกบอลไปยังแดนคู่ต่อสู้เช่นเดียวกับเทนนิส การเสิร์ฟจะต้องตีลูกบอลได้อย่างน้อย 10 ฟุต และห้ามเลี้ยงลูกบอล อนุญาตให้ถูกตาข่ายได้ แต่ถ้าลูกบอลถูกผู้เล่นคนอื่นๆ ก่อนถูกตาข่ายและถ้าลูกข้ามตาข่ายไปยังแดนคู่ต่อสู้ถือว่าดี แต่ถ้าลูกออกนอกสนาม จะหมดสิทธ์การเสิร์ฟ ครั้งที่ 2 </dd><dd> </dd><dd>7. การนับคะแนนลูกเสิร์ฟที่ดีฝ่ายรับจะไม่สามารถโต้ลูกกลับมาได้ให้นับ 1 คะแนนสำหรับฝ่ายเสิร์ฟ ฝ่ายที่จะสามารถทำคะแนนได้คือฝ่ายเสิร์ฟเท่านั้น ถ้าฝ่ายเสิร์ฟทำลูกบอลเสียในแดนของตนเอง ผู้เสิร์ฟจะหมดสิทธิ์ในการเสิร์ฟ </dd><dd> </dd><dd>8. ลูกบอลถูกตาข่าย (ลูกเสิร์ฟ) ถ้าเป็นการทำเสียครั้งที่ 1 ให้ขานเป็นลูกตาย </dd><dd> </dd><dd>9. ลูกบอลถูกเส้น ให้ถือเป็นลูกออก </dd><dd> </dd><dd>10. การเล่นและผู้เล่น การถูกตาข่ายโดยผู้เล่นทำลูกบอลติดตาข่าย หรือ ลูกบอลถูกสิ่งกีดขวาง และกระดอนเข้าสู่สนามถือเป็นลูกดี </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ผู้อำนวยการพลศึกษาต่างๆ ของ Y.M.C.A. พยายามส่งเสริมและให้การสนับสนุนกีฬาชนิดนี้โดยนำเข้าไปฝึกในโรงเรียน ซึ่งครูฝึกพลศึกษาของมหาวิทยาลัยสปริงฟิลด์ ในมลรัฐแมสซาชูเซตส์ กับมหาวิทยาลัย George William มลรัฐอิลลินอยส์ ได้เผยแพร่กีฬาชนิดนี้ไปทั่วสหรัฐอเมริกาและแคนาดา โดยมีการทำเป็นแบบแผน เพื่อจะได้นำไปเผยแพร่ต่อไปดังนี้ </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>1. นาย Elwood s. Brown ได้นำกีฬาวอลเลย์บอลไปสู่ประเทศฟิลิปปินส์ </dd><dd> </dd><dd>2. นาย J. Haward Crocher นำไปเผยแพร่ที่ประเทศจีน </dd><dd> </dd><dd>3. นาย Franklin H. Brown นำไปเผยแพร่ที่ประเทศญี่ปุ่น </dd><dd> </dd><dd>4. Dr. J.H. Cary นำไปเผยแพร่ที่ประเทศพม่า และอินเดีย </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ปี พ.ศ. 2453 นาย Elwood S. Brown เดินทางไปฟิลิปปินส์ ได้ช่วยจัดตั้งสมาคม และริเริ่มการแข่งขันครั้วแรกที่กรุงมะนิลา ในปี พ.ศ. 2456 โดยเรียกการแข่งขันครั้งนี้ว่า Far Eastern Games </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 Dr.Grorge J. Fischer เลขาธิการปฎิบัติการสงคราม ได้นำเอากีฬาวอลเลย์บอลเข้าไว้เป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งในการฝึกทหารในค่าย ทั้งในและนอกประเทศ และได้พิมพ์กฎกติกากีฬาวอลเลย์บอลเพื่อแจกจ่ายไปยังหน่วยต่างๆ ของทหาร ทั้งกองทัพบกและกองทัพเรือ เพื่อให้ทหารได้ใช้เวลาว่างกับกีฬาโดยอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ลูกวอลเลย์บอล และตาข่ายจำนวนหลายหมื่นชิ้นได้ถูกส่งไปยังค่ายทหารที่ประอยู่ตามหน่วยต่างๆ ทั้งในประเทศและกอง ทัพพัธมิตร นับว่า Dr.Grorge J. Fisher เป็นผู้ช่วยเหลือกีฬาวอลเลย์บอลเป็นอย่างมากจน ได้ชื่อว่าบิดาแห่งกีฬาวอลเลย์บอล </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ปี พ.ศ. 2465 ได้มีการปรับปรุงกฎกติกาของวอลเลย์บอลใหม่ โดยสมาคม Y.M.C.A. และสมาคมลูกเสือแห่งอเมริกัน N.O.A.A. ได้จัดการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลขึ้นมีรัฐต่างๆ ส่งเข้าแข่งขัน 11 รัฐ มีทีมเข้าแข็งขันทั้งสิ้น 23 ทีม รวมทั้งทีมจากแคนาดา </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ปี พ.ศ. 2467 กองทัพบกและกองเรือของสหรัฐอเมริกา ได้ส่งเสริมกีฬาวอลเลย์บอลอย่างจริงจัง จนกระทั่งได้แพร่เข้าไปยังกลุ่มโรงเรียน และสมาคมต่างๆ ซึ่งเรียกกันว่าสมาคมกีฬาและสันทนาการแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนเป็นสันทนาการแห่งชาติ ได้นำเอากีฬาวอลเลย์บอลบรรจุไว้ในกิจกรรมของสมาคม </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>วันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2471 ไดมีการตั้งสมาคมวอลเลย์บอลแห่งสหรัฐอเมริกาขึ้น เรียกว่า The Untied States Volleyball Association มีชื่อย่อ USVBA ที่ Dr. George J. Fischer เป็นประธาน และ Dr. John Brown เป็นเลขาธิการ ได้ตั้งความมุ่งหมายในการบริหารกีฬาวอลเลย์บอลออกเป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้ </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>1. จัดการประชุมประจำปีเพื่อจดทะเบียนมาตรฐานของกีฬาวอลเลย์บอลให้ดีขึ้น </dd><dd> </dd><dd>2. วางแผนงานพัฒนากีฬา และการจัดการแข่งขัน </dd><dd> </dd><dd>3. จัดการแข่งขันชิงชนะเลิศแห่งชาติ </dd><dd> </dd><dd>4. พัฒนากติกาในการเล่นให้ดีขึ้น </dd><dd> </dd><dd>5. จัดหาสมาชิกให้เพิ่มขึ้น </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ปี พ.ศ. 2479 ได้มีการจัดการแข่งขันประจำปีที่นครนิวยอร์ก จากการแข่งขันนี้ทำให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับการแข่งขันวอลเลย์บอลดีขึ้น โดยมีสมาชิกเข้าร่วมจำนวนมาก </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ปี พ.ศ. 2483 สมาคม USVBA ได้รับสมาชิกเพิ่ม 2 ทีม คือ มหาวิทยาลัยเทเบิล และมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย และได้มีการแข่งขันประเภทประชาชนทั่วไปที่รัฐฟิลาเดลเฟีย </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ปี พ.ศ. 2485 มีการแบ่งเขตออกเป็น 12 เขต สมาชิกต่างๆ ได้ขอร้องให้สมาคม Y.M.C.A. หยุดรับสมาชิกเพราะมีสมาชิกมากเกินไป ทำให้บริการได้ไม่ทั่วถึง เอกอัครราชทูตของรัสเซีย ในกรุงวอชิงตัน ได้ส่งเอกสารเกี่ยวกับกฎกติกาของวอลเลย์บอล ซึ่งได้จัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม โดยมีนาย Herry E. Willson และ Dr. David T. Gaodon เป็นผู้จัดพิมพ์ขึ้น </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2485 นาย William G. Morgan ผู้ริเริ่มกีฬาวอลเลย์บอลได้ถึงแก่กรรม </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ปี พ.ศ. 2486 สมาคมสตรีของ AAHPER (America Association of Health,Physical Education and Recreation) โดยมี Dr. John Brown เป็นเลขาธิการและเหรัญญิกของสมาคม ได้นำเอากีฬาวอลเลย์บอลบรรจุเข้าไว้ในกิจกรรมของสมาคมสตรี และดำเนินการแข่งขันภายในกลุ่ม </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ระหว่างวันที่ 1-7 พฤษภาคม พ.ศ. 2487 ได้จัดให้มีการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลนานาชาติขึ้น โดยมีทีมที่สนใจเข้าร่วมการแข่งขันจำนวนมาก </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ปี พ.ศ. 2489 ได้เริ่มมีการสอนกีฬาวอลเลย์บอล โดยใช้อุปกรณ์การสอน เช่น ภาพยนตร์เกี่ยวกับการเล่นและการแข่งขันซึ่งเป็นฟิล์ม 16 มิลลิเมตร จำนวน 2 ม้วน ในการทำภาพยนตร์ครั้งนี้คิดเป็นเงินประมาณ 7,800 ดอลลาร์ฯ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้มีการประชุมเกี่ยวกับการแข่งขันระหว่างชาติ โดยเริ่มที่ชิคาโก ซึ่ง Andrew Stewert เลขาธิการโอลิมปิกแห่ง สหรัฐอเมริกา เพื่อนำกีฬาวอลเลย์บอลจัดแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกต่อไป </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ปี พ.ศ. 2490 ได้มีกฎกติกาจัดพิมพ์ใหม่ โดยสมาคม USVBA ซึ่งทางสมาคมได้ส่งนาย FB. De Groot และนาย Royal L. Thomas เป็นตัวแทนเข้าร่วมประชุมที่กรุงปารีส โดยร่วมจัดการแข่งขันระหว่างชาติขึ้น ซึ่งเป็นผลให้เกิดสหพันธ์กีฬาวอลเลย์บอลนานาชาติขึ้นในต้นปีนี้เอง </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ปี พ.ศ. 2491 มีการประชุมสมาคม USVBA ที่ South Bend Indiana และปรับปรุงสมาคม USVBA มีการเลือกตั้งคณะกรรมการใหม่ขึ้น โดยสมาคมได้ส่งทีมวอลเลย์บอลชายไปตระเวนแข่งขันในยุโรป </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ปี พ.ศ. 2492 หนังสือ Time Game เขียนโดยสมาคม USVBA รายงานการแข่งขันวอลเลย์บอลที่ลอสแอนเจลีส ซึ่งเป็นการแข่งขันระหว่างประเทศ ผู้ที่ชนะเลิศได้แก่ รัสเซีย ที่ 2 ได้แก่ เชโกสโลวาเกีย และในปีนี้เองประเทศผรั่งเศสได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม USVBA ด้วย </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ปี พ.ศ. 2493 Dr. Fisheer ข้าราชการบำนาญที่มาร์แชลแอลเวลเตอร์ ได้นัดประชุมผู้นำทางกีฬาวอลเลย์บอล โดยแต่ละประเทศได้เขียนรายงานการประชุมเป็นภาษาสวิส และมีการสาธิตการเล่นกลางแจ้ง และในปีนี้ประเทศอังกฤษได้นำเอากีฬาวอลเลย์บอลไว้ในกิจกรรมของสมาคม Y.M.C.A. ของอังกฤษด้วย </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ปี พ.ศ. 2494 นาย Robert J. Lavelca ได้ทำสไลด์เกี่ยวกับทักษะเบื้องต้นในการเล่นกีฬาวอลเลย์บอลขึ้น </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ปี พ.ศ. 2495 ได้มีการจัดแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงขึ้นครั้งแรก โดยมีนาย Migaki Nishikawa ประธานสมาคมวอลเลย์บอลแห่งประเทศญี่ปุ่น โดยจัดให้มีการแข่งขันระหว่างประเทศในแถบตะวันออกไกล และกีฬาวอลเลย์บอลนี้ได้ถูกจัดเข้าแข่งขันในโอลิมปิกครั้งแรกที่เมือง เฮลซิงกิ และมีการแข่งขันวอลเลย์บอลชิงแชมป์โลกครั้งแรกที่เมืองสโคร์ จากนั้นสมาคมวอลเลย์บอลแห่งญี่ปุ่นก็มีการส่งเสริมกีฬาชนิดนี้มาก โดยส่งทีมวอลเลย์บอลของมหาวิทยาลัย Lashita ซึ่งชนะเลิศการแข่งขันของประเทศญี่ปุ่นไปแข่งที่สหรัฐอเมริกา </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd> ประวัติกีฬาวอลเลย์บอลในไทย </dd><dd> วอลเลย์บอลได้แพร่หลายเข้ามาในไทย ตั้งแต่เมื่อใดไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด เพียงแต่ทราบกันว่าในระยะแรกๆ เป็นที่นิยมเล่นกันในหมู่ชาวจีนและชาวญวนมาก จนกระทั่งมีการแข่งขันระหว่างคณะ ชุมชน สโมสร และสมาคมขึ้น บางครั้งติดต่อแข่งขันกันไปในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมีการแข่งขันชิงถ้วยทองคำทางภาคใต้ </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ปี พ.ศ. 2477 กรมพลศึกษาได้จัดพิมพ์กติกาวอลเลย์บอลขึ้น โดยอาจารย์นพคุณ พงษ์สุวรรณ เป็นผู้แปล และท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในกีฬาวอลเลย์บอลเป็นอย่างยิ่ง จึงได้รับเชิญเป็นผู้บรรยายเกี่ยวกับเทคนิควิธีการเล่น ตลอดจนกติกาการแข่งขันวอลเลย์บอล แก่บรรดาครูพลศึกษาทั่วประเทศในโอกาสที่กระทรวงศึกษาได้เปิดอบรมขึ้น </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ในปีนี้เองกรมพลศึกษาได้จัดให้มีการแข่งขันกีฬาประจำปีขึ้น และบรรจุกีฬาวอลเลย์บอลหญิงเข้าไว้ในรายการแข่งขันเป็นครั้งแรก พร้อมทั้งในหลักสูตรของโรงเรียนพลศึกษากลางได้กำหนดวิชาบังคับให้นักเรียน หญิงเรียนวิชาวอลเลย์บอลและเนตบอล สมัยนั้นมี น.อ.หลวงสุภชลาศัย ร.น. ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพลศึกษา </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>จนกระทั่งปี พ.ศ. 2500 ได้มีการจัดตั้ง "สมาคมวอลเลย์บอลสมัครเล่นแห่งประเทศไทย" (Amature Volleyball Association of Thailand) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและเผยแพร่กีฬาวอลเลย์บอลให้เจริญรุดหน้า และดำเนินการจัดการแข่งขันวอลเลย์บอลในระบบ 6 คน มีหน่วยราชการอื่นๆ จัดการแข่งขันประจำปี เช่น กรมพลศึกษา กรมการคณะกรรมการกีฬามหาวิทยาลัย เทศบาลนครกรุงเทพฯ สภากีฬาทหาร ตลอดจนการแข่งขันกีฬาเขตแห่งประเทศไทย ได้มีการจัดแข่งขันทั้งประเภททีมชายและทีมหญิงประจำปีทุกปี </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ความมุ่งหมายของกีฬาวอลเลย์บอล </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>1. เพื่อให้มีความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกีฬาวอลเลย์บอล </dd><dd> </dd><dd>2. เพื่อให้มีความสามารถในการเล่นทักษะเบื้องต้นต่างๆ ของกีฬาวอลเลย์บอลอย่างถูกต้อง </dd><dd> </dd><dd>3. เพื่อให้มีควมสามารถในการเล่นทีมได้อย่างถูกต้องและฉลาด </dd><dd> </dd><dd>4. เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในกติกาเกี่ยวกับการเล่นกีฬาวอลเลย์บอล </dd><dd> </dd><dd>5. เพื่อส่งเสริมในการพัฒนาร่างกาย จิตใจ สังคม และอารมณ์ </dd><dd> </dd><dd>6. เพื่อส่งเสริมให้มีนิสัยรู้จักการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน </dd><dd> </dd><dd>7. ส่งเสริมให้เป็นคนมีน้ำใจนักกีฬา </dd><dd> </dd><dd>8. เพื่อก่อให้เกิดความสนุกสนาน และเพลิดเพลินในการเล่นกีฬาวอลเลย์บอล </dd><dd> </dd><dd>9. เพื่อปลูกฝังนิสัยให้รู้จักกการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยการเล่นกีฬาวอลเลย์บอล </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd> กติกาการเล่นวอลเลย์บอล </dd><dd>การแข่งขัน </dd><dd> </dd><dd>ใช้การเสี่ยงเลือกเสิร์ฟหรือเลือกแดน ก่อนแข่งให้วอร์มที่ตาข่าย 3 ถึง 5 นาที ถ้าทั้ง 2 ทีม ตกลงวอร์มพร้อมกันให้วอร์มที่ตาข่ายได้ 6 - 10 นาที </dd><dd>ตำแหน่งของผู้เล่น </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ในขณะที่ผู้เสิร์ฟทำการเสิร์ฟ ผู้เล่นแต่ละคนต้องอยู่ในแดนของตน ผู้เล่นแถวหน้า 3 คน แถวหลังแต่ละคนจะต้องอยู่ด้านหลังของคู่ของตนทีเป็นผู้เล่นแถวหน้า การเล่นผิดตำแหน่งจะเป็นฝ่ายแพ้ในการเล่นลูกครั้งนั้น การหมุนตำแหน่งต้องหมุนตามเข็มนาฬิกา </dd><dd>การเปลี่ยนตัวผู้เล่น </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>เปลี่ยนตัวได้มากสุด 6 คนต่อเซต แต่ละครั้งจะเปลี่ยนกี่คนก็ได้ ผู้ที่เริ่มเล่นในเซตนั้น จะเปลี่ยนตัวออกได้ 1 ครั้งและกลับเข้ามาเล่นได้อีก 1 ครั้ง ในตำแหน่งเดิม ผู้เล่นสำรองจะเปลี่ยนตัวเข้าไปเล่นได้เพียงครั้งเดียวในแต่ละเซต และผู้เปลี่ยนเข้ามาต้องเป็นผู้เล่นคนเดิม </dd><dd>การเล่นลูกบอล </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ผู้เล่นสามารถที่จะนำลูกบอลจากนอกเขตสนามกลับเข้ามาเล่นต่อได้ ทีมหนึ่งสามารถถูกลูกบอลได้มากที่สุด 3 ครั้ง ยกเว้นเมื่อทำการบล็อก (ได้ 4 ครั้ง) ผู้เล่นหนึ่งคนจะถูกลูกบอล 2 ครั้ง ติดต่อกกันไม่ได้ ยกเว้นการบล็อกถ้าผู้เล่นถูกลูกพร้อมกัน 3 คน ก็ถือว่าถูก 3 ครั้ง ถ้าถูกพร้อมกันเหนือตาข่ายก็จะไม่นับ ถ้าลูกบอลออกถือว่าฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามทำออก ถ้ายึดลูกบอลเหนือตาข่ายจะต้องเล่นใหม่ ลูกบอลที่ชนตาข่ายยังเล่นต่อไปได้จนครบ 3ครั้ง ตามกำหนดยกเว้นการเสิร์ฟ </dd><dd>การเสิร์ฟ </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>จะเสิร์ฟโดยผู้เล่นที่อยู่ในตำแหน่งหลังขวาที่อยู่ในเขตเสิร์ฟ การกำหนดทีมที่จะเสิร์ฟ ลูกแรกในเซตที่ 1 และ 5 โดยการเสี่ยง ต้องเสิร์ฟตามลำดับที่บันทึกไว้ เมื่อโยนออกไปเพื่อเสิร์ฟแล้ว ต้องใช้มือหรือส่วนใดของแขนข้างเดียว กระโดดเสิร์ฟได้ ต้องเสิร์ฟลูกภายใน 5 วินาที หลังจากผู้ตัดสินเป่านกหวีด ถ้าเสิร์ฟพลาดไม่ถูกลูก ผู้ตัดสินจะให้เสิร์ฟใหม่ภายใน 3 นาที </dd><dd>การตบลูกบอล </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ผู้เล่นในแดนหน้าสามารถตบลูกบอลด้วยวิธีใดก็ได้จากแดนของตนเอง ในความสูงทุกระดับ โดยในขณะที่สัมผัสลูกบอลนั้น ลูกบอลจะต้องอยู่ในแดนของตนเองเพียงส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดก็ได้ ส่วนผู้เล่นในแนวหลังสามารถกระโดดตบลูกได้ แต่จะต้องตบจากเขตแดนหลัง การตบลูกบอลดังกล่าวหากไม่เป็นตามกติกาข้อนี้ถือว่าเสีย </dd><dd>การบล็อก </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ผู้เล่นแถวหน้าเท่านั้นที่บล็อกได้ จะบล็อกเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มก็ได้ เมื่อบล็อกได้แล้วยังถูกลูกได้อีก 3 ครั้งห้ามบล็อกลูกเสิร์ฟ สามารถใช้ส่วนต่างๆ ของร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้าถูกลูกบอลได้ </dd><dd> </dd><dd>การล้ำแดนผิดระเบียบ ก่อนหรือระหว่างการตบของคู่ต่อสู้ หรือสัมผัสลูกบอลในแดนคู่ต่อสู้เข้าไปในแดนคู่ต่อสู้ขณะที่ลูกบอลยังอยู่ใน การเล่น และตัวผู้เล่นถูกตาข่ายหรือเสาอากาศถือเป็นการล้ำแดนที่ผิดกติกา </dd><dd>การขอเวลานอก </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ขอได้ 2 ครั้งต่อเซต ไม่ให้เปลี่ยนตัว 2 ครั้งต่อเนื่องกัน การขอเวลานอกมีเวลา 30 วินาที ในระหว่างการขอเวลานอกผู้เล่นทุกคนต้องออกไปอยู่บริเวณเขตรอบสนามใกล้ม้า นั่ง </dd><dd>การเปลี่ยนตัวมากกว่า 1 คน </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ให้แจ้งก่อนและเปลี่ยนทีละคู่ตามลำดับ </dd><dd>เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ถ้ามีเหตุระหว่างเล่นให้หยุด แล้วเล่นลูกนั้นใหม่ถ้ามีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องหยุดนานไม่เกิน 4 ชม.ถ้าทำการแข่งขันใหม่ใช้สนามเดิม เซตที่หยุดการแข่งขันจะนำมาแข่งขันตามปกติ ถ้าใช้สนามอื่นให้ยกเลิกเซตนั้นแล้วเริ่มต้นใหม่ ผลของเซตที่ผ่านมามีผลเหมือนเดิม ถ้าหยุดเกิน 4 ชั่วโมงต้องเริ่มแข่งใหม่ทั้งหมด </dd><dd>การหยุดพัก </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>พักระหว่างเซตแต่ละเซตพักได้ไม่เกิน 30 วินาที ส่วนการพักเซตที่ 4 และเซตที่ 5 พักได้ 5 นาที ทั้งสองทีมต้องตั้งแถวที่แนวเส้นหลังทันทีที่ผู้ตัดสินเรียกลงสนามแข่ง ขันต่อ และเมื่อสิ้นสุดการแข่งขันในแต่ละเซต ทั้งสองทีมต้องเปลี่ยนแดนกัน นอกจากเซตตัดสิน </dd><dd>การเปลี่ยนแดน </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>เมื่อเสร็จแต่ละเซตทั้ง 2 ทีมจะต้องเปลี่ยนแดนยกเว้นเซตตัดสิน เซตตัดสินทีมใดได้ 8 คะแนนน ให้เปลี่ยนแดนทันทีและตำแหน่งของผู้เล่นเป็นตามเดิม </dd><dd>ข้อห้ามของผู้เล่น </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ห้ามมิให้ผู้เล่นสวมเครื่องประดับที่เป็นโลหะของแข็งในระหว่างการแข่งขันทุกชนิด </dd><dd>มารยาทของผู้เล่น </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ผู้เล่นต้องยอมรับผลการแข่งขัน สุภาพอ่อนโยนต่อผู้ตัดสินและฝ่ายตรงข้าม ไม่ควรแสดงท่าทางและทัศนะคติที่ใม่ดีระหว่างแข่งขันหรือแสดงพฤติกรรมอื่นใด ที่ไม่เป็นการสุภาพต่อผู้อื่น </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd> อุปกรณ์การเล่นวอลเลย์บอล </dd><dd>สนามแข่งขัน </dd><dd> </dd><dd>สนามแข่งขันควรจะเป็นพื้นดิน พื้นไม้หรือพื้นปูนซีเมนต์เรียบ และต้องเป็นพื้นแข็งเรียบไม่มีสิ่งกีดขวาง มีลักษณะ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด กว้าง 18 ยาว 9 เมตร โดยมีบริเวณรอบๆ สนาม ห่างจากสนามอย่างน้อย 2 เมตร ถ้าเป็นสนามกลางแจ้งต้องมีบริเวณรอบๆ สนาม ห่างจากสนามอย่างน้อย 3 เมตร ความสูงจากพื้นสนามขึ้นไปมีสิ่งกีดขวางหรือเพดาน อย่างน้อย 7 เมตร หากเป็นการแข่งระดับนานาชาติ ต้องมีบริเวณที่วางด้านข้างไม่น้อยกว่า 5 เมตร และบริเวณด้านหลังไม่น้อยกว่า 8 เมตรเพดานด้านบนสูงไม่น้อยกว่า 12.5 เมตร </dd><dd>เส้นเขตสนาม </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>เส้นทุกเส้นต้องกว้าง 5 เซนติเมตร เป็นสีอ่อนแตกต่างจากพื้นสนาม เส้นทั้งหมดนี้รวมอยู่ในสนามแข่งขัน กว้าง x ยาว เท่ากับ 9 x 18 เมตร </dd><dd>เส้นแบ่งแดน </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>เป็นเส้นที่แบ่งพื้นสนามแบ่งออกเป็น 2 ส่วน อยู่ตรงกึ่งกลางของสนามขนาดกลางจากจุดกึ่งกลางไปยังเส้นหลัง 9 เมตร เส้นจะอยู่ใต้ตาข่ายหรือตรงเสาตาข่ายพอดี </dd><dd>เส้นเขตแดน </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>1. เส้นเขตรุกและเขตรุก เขตรุกของแต่ละฝ่ายเป็นเขตที่กำหนดโดยเขตรุกกว้าง 3 เมตร คิดรวมกับความกว้างของเส้นด้วย เขตรุกจะลากขนานกับเส้นแบ่งแดนของสนาม และสมมติว่ามีความกว้างออกไปนอกเขตสนามโดยไม่มีกำหนด </dd><dd> </dd><dd>2. เส้นเสิร์ฟและเขตเสิร์ฟ คือเส้นที่ลากยาว 15 เซนติเมตร สองเส้นจากปลายสุดของสนาม โดยเขียนให้ห่างจากเส้นหลัง 20 เซนติเมตร ซึ่งเขียนจากปลายเส้นข้างด้านขวาหนึ่งเส้น และเข้าไปทางซ้ายด้านในของสนามห่างกัน 3 เมตรอีกหนึ่งเส้น </dd><dd> </dd><dd>3. เขตเปลี่ยนตัว อยู่ที่เขตรุกทั้งสองฝ่ายที่อยู่ในแนวสมมุติเลยออกไปในเขตรอบสนามที่อยู่ทั้งสองด้านของโต๊ะผู้บันทึก </dd><dd>แสงสว่าง </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>แสงสว่างของสนามควรอยู่ที่ 500 - 1500 วัตต์ </dd><dd>ตาข่าย </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>มีขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 9.50 เมตร ขึงอยู่ในแนวดิ่งเหนือจุดกึ่งกลางของเส้นแบ่งแดน จะแบ่งสนามออกเป็น 2 ส่วน </dd><dd>แถบข้าง </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ใช้แถบสีขาวกว้าง 5 เซนติเมตร ยาว 1 เมตร ติดอยู่ที่ปลายตาข่ายแต่ละด้าน ตั้งให้ได้ฉากกับเส้นข้าง และอยู่ในแนวเดียวกับจุดกึ่งกลางของเส้นแบ่งแดน แถบนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของตาข่าย </dd><dd>เสาอากาศ </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ทำด้วยหลอดใยแก้ว หรือวัตถุที่คล้ายกัน มีความยาว 1.80 เมตรเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 มิลลิเมตร ทาสีขาวสลับแดงเป็นช่วงๆ แต่ละช่วงห่างกัน 10 เซนติเมตร เสาอากาศมี 2 เสา แต่ละเสาผูกติดกับขอบตาข่ายนอกสุดตรงกับแถบเส้นข้างของตาข่าย โดยให้ยื่นขึ้นไปเหนือตาข่าย 80 เซนติเมตร </dd><dd>ความสูงของตาข่าย </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ได้แก่ ตาข่าย ของทีมชายสูงจากพื้น 2.43 เมตร ทีมหญิงจะสูงจากพื้น 2.24 เมตร วัดที่จุดกึ่งกลางของสนาม </dd><dd>เสาขึงตาข่าย </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ควรจะมีลักษณะกลมหรือเรียบทั้ง 2 เสาซึ่งสามารถปรับระดับได้ มีความสูง 2.55 เมตร เพื่อรองรับปลายสุดของตาข่ายแต่ละด้าน เสาขึงจะต้องยึดติดกับพื้น ห่างจากเส้นข้างอย่างน้อย 50 - 100 เซนติเมตร ห้ามใช้ลวดหรือโลหะเป็นตัวยึดตาข่ายกับเสาเพราะจะเป็นอันตราย </dd><dd>ลูกบอล </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ลูกบอลจะต้องมีลักษณะกลม ทำด้วยหนังฟอกที่ยืดหยุ่นได้ มียางในทำด้วยยางหรือวัตถุที่คล้ายคลึงกัน ต้องมีสีที่สว่าง เส้นรอบรูป 65 - 67 ซม. มีน้ำหนัก 260 - 270 กรัม แรงอัด 0.400-0.450 กรัม/ตร.ซม. </dd><dd>ใช้ลูกบอล 3 ลูก </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>การแข่งขันระหว่างชาติ ควรใช้ลูกบอล 3 ลูก โดยมีคนคอยเก็บลูกบอลให้ 6 คน ซึ่งอยู่ที่มุมเขตสนามทั้งสี่มุม มุมละ 1 คน และด้านหลังผู้ตัดสินด้านละ 1 คน </dd><dd>ผู้เข้าร่วมแข่งขัน </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ใน 1 ทีมประกอบด้วยผู้เล่นไม่เกิน 12 คน ผู้ฝึกสอน 1 คน ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน 1 คน เทรนเนอร์ 1 คน แพทย์ 1 คนนักกีฬาลงแข่งขันตลอดเวลา 6 คน </dd><dd>เครื่องแต่งกาย </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ใช้กางเกงขาสั้น เสื้อยืดแขนยาวหรือแขนสั้น ถุงเท้า จะต้องสะอาด และแบบเดียวกัน สีเดียวกันทั้งทีม รองเท้าเป็นยางหรือหนังไม่มีเส้น ในการแข่งขันระดับโลก รองเท้าจะต้องมีสีเดียวกัน (ยกเว้นเครื่องหมายการค้า) ติดหมายเลขเรียงกันตั้งแต่ 1 - 12 เบอร์ติดที่กลางหน้าอกมีขนาดสูงไม่น้อยกว่า 8 เซนติเมตร และกลางหลัง มีความสูงไม่น้อยกว่า 15 เซนติเมตร ขนาดกว้างไม่น้อยกว่า 2 เซนติเมตร อนุญาตให้เปลี่ยนเสื้อขณะแข่งขันได้แต่ต้องเป็นหมายเลขเดิม </dd><dd>รูปแบบการแข่งขัน </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ทีมที่ทำได้ 25 คะแนนและต้องมีคะแนนนำทีมตรงข้ามอย่างน้อยที่สุด 2 คะแนน จะเป็นทีมที่ชนะในเซตนั้น ใน กรณีที่ได้ 24 คะแนนเท่ากัน จะแข่งขันต่อไปจนกว่าทีมใดหนึ่งจะมีคะแนนนำทีมฝ่ายตรงข้าม 2 คะแนน เช่น 26 : 24 หรือ 27 : 25 เป็นต้น </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd> แนะนำการดูวอลเลย์บอล </dd><dd>วอลเลย์บอล เป็นกีฬาที่เล่นโดยทีม 2 ทีมบนสนามที่แบ่งแดนด้วยตาข่าย ลักษณะการเล่นอาจแตกต่างกันได้ตามสภาพที่จำเป็นเพื่อให้ทุกคนเล่นกันได้แพร่ หลาย กีฬาชนิดนี้จัดเป็นกีฬานันทนาการที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 3 ของโลก </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>จุดมุ่งหมายของการแข่งขันก็คือ การส่งลูกข้ามตาข่ายให้ตกลงบนพื้นที่ในแดนของทีมตรงข้าม และป้องกันไม่ให้ทีมตรงข้ามส่งลูกข้ามตาข่ายมาตกบนพื้นที่ในเขตแดนของตน แต่ละทีมจะสัมผัสลูกบอลได้มากที่สุด 3 ครั้ง ในการส่งลูกบอลไปยังแดนของทีมตรงข้ามสัมผัสบอลแค่ครั้งเดียวก็ได้ โดยปกติแล้วการสัมผัสลูกบอลครั้งแรกก็คือ การรับลูก เสิร์ฟ จากฝ่ายตรงข้าม ครั้งที่ 2 คือ การ set บอลขึ้นบนอากาศ เพื่อให้ครั้งที่ 3 ซึ่งปกติจะใช้ตบลูกบอลทำได้อย่างสะดวก </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>การเล่นจะเริ่มต้นเมื่อทำการ เสิร์ฟ ลูกบอล โดยผู้เสิร์ฟ ส่งลูกบอลข้ามตาข่ายไปยังทีมตรงข้าม การเล่นจะดำเนินไปจนลูกบอลตกลงบนพื้นในเขตสนามหรือนอกเขตสนาม หรือทีมไม่สามารถส่งลูกกลับไปยังทีมตรงข้ามได้อย่างถูกต้องตามกติกา </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ส่วนการนับคะแนนนั้น การแข่งขัน วอลเลย์บอล จะมีการได้คะแนนทุกครั้งที่มีการเล่นลูกถ้าฝ่ายรับลูกเสิร์ฟ ชนะการเล่นลูกนั้นก็จะได้สิทธิทำการเสิร์ฟ และผู้เล่นทั้งหมดต้องหมุนตามเข็มนาฬิกา 1 ตำแหน่ง </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>จะมีผู้เล่นอยู่ในทีมๆละอย่างมาก 12 คน และอย่างน้อย 6 คน แต่จะลงสนามได้ทีมละ 6 คน ผู้เล่นทั้ง 6 คน ในสนามอาจจะเล่นตลอดเกมหรืออาจเปลี่ยนตัวได้ตลอด ผู้เล่นที่เป็นผู้เสิร์ฟจะเป็นตำแหน่งหลังขวาสุด ซึ่งตำแหน่งของผู้เล่นทุกคนจะไม่สามารถเปลี่ยนได้ตามใจชอบ แต่จะต้องหมุนเวียนแบบทวนเข็มนาฬิกาเมื่อได้สิทธิเปลี่ยนเสิร์ฟ ยกเว้นก็ต่อเมื่อขณะที่กำลังเล่นลูกอยู่ นอกจากนี้ในส่วนของนักกีฬา ยังมีผู้เล่นตัวรับอิสระ (Libero player) ซึ่งเป็นผู้เล่น 1 ใน 12 คน แต่สวมเสื้อที่มีหมายเลขและสีแตกต่างจากผู้เล่นคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด สามารถเปลี่ยนตัวไปแทนผู้เล่นที่อยู่ในแดนหลังได้เมื่อลูกตายและก่อนที่ผู้ ตัดสินจะเป่านกหวีดให้ทำการเสิร์ฟ โดยไม่นับเป็นการเปลี่ยนตัวเข้าออกปกติ </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>สำหรับผู้ตัดสินวอลเลย์บอล จะมี 2 คน คือ ผู้ตัดสินที่ 1 จะทำหน้าที่ชี้ขาดอยู่บนเก้าอี้ตัดสิน และผู้ตัดสินที่ 2 อยู่ด้านล่างตรงข้ามกับผู้ตัดสินที่ 1 ขณะเดียวกันจะมีผู้กำกับเส้นอีก 4 คน </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>การนับคะแนน แรลลี่พอยต์ หรือนับทุกลูกที่ลูกตาย จากเซ็ตที่ 1 ถึง เซ็ตที่ 4 กรณีที่เล่น 3 ใน 5 ฝ่ายเสิร์ฟ เล่นลูกจะนับทีละ 1 คะแนน แต่ถ้าฝ่ายเสิร์ฟทำเสียหรือฟาวล์ จะเสียคะแนนและจะต้องเปลี่ยนให้ฝ่ายตรงข้ามเล่น โดยนับคะแนนลักษณะเดียวกัน จนกว่ามีทีมใดได้ครบ 25 คะแนนก่อน เป็นทีมชนะในเซ็ตนั้น หลังจากนั้นเริ่มต้นเล่นกันใหม่ จนกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะซึ่งโดยปกติจะแข่งกันหาผู้ชนะ 3 ใน 5 เซต </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>การแข่งขันในเซตตัดสิน (เซตที่ 3 หากแข่งขันระบบ 2 ใน 3 หรือ เซตที่ 5 ในระบบ 3 ใน 5 จะแข่งขันแบบแรลลี่พอยต์ หรือนับแต้มทุกแต้มที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทำลูกเสีย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเสิร์ฟหรือไม่ก็ตาม ฝ่ายใดทำลูกเสียหรือผิดกติกา จะเสียแต้มและเสียสิทธิเสิร์ฟด้วย เซตนี้จะเกมที่ 15 แต้ม ไว้แต่มีกรณีดิวส์ จะต้องมีแต้มห่างกัน 2 แต้ม </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>นอกจากนี้ยังมีกติกาเบื้องต้นบางอย่างที่ควรรับรู้ เช่น ตำแหน่งการเสิร์ฟ ได้เปลี่ยนใหม่ นักกีฬาสามารถเสิร์ฟจุดใดก็ได้ โดยจะต้องไม่เหยียบเส้นหลังสนามเท่านั้น </dd><dd> </dd><dd> </dd><dd>ในส่วนของผู้ฝึกสอน ปัจจุบันอนุญาตให้ผู้ฝึกสอนเพียงคนเดียว ยืน เดิน และให้คำแนะนำแก่นักกีฬาได้ที่บริเวณด้านหน้าม้านั่งในแดนตัวเองระหว่างเส้น เขตรุก ถึงเขตอบอุ่นร่างกาย โดยไม่ถือเป็นการรบกวนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตัดสิน </dd><dd> </dd>einghttp://www.blogger.com/profile/16631351927710035216noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3412673156837273380.post-59420422816434779582012-02-28T03:24:00.002-08:002012-02-28T03:24:16.581-08:00พระราชบัญญัติ คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒<span id="idBG5" style="font-size: large;"><b>พระราชบัญญัติ</b></span><br />
<span style="font-size: small;"><b>คุ้มครองผู้บริโภค <br />
พ.ศ. ๒๕๒๒</b></span><br />
<span id="idBG5" style="font-size: large;"><b>ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.</b></span><br />
<span style="font-size: small;"><b> ให้ไว้ ณ วันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๒<br />
เป็นปีที่ ๓๔ ในรัชกาลปัจจุบัน </b></span><br />
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า<br />
โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค<br />
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้ <b>มาตรา ๑</b> พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๒๒”<br />
<b>มาตรา ๒</b> พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป<br />
<b>มาตรา ๓</b> ในพระราชบัญญัตินี้<br />
“ซื้อ” หมายความรวมถึง เช่า เช่าซื้อ หรือได้มาไม่ว่าด้วยประการใดๆ โดยให้ค่าตอบแทนเป็นเงินหรือผลประโยชน์อย่างอื่น<br />
“ขาย” หมายความรวมถึง ให้เช่า ให้เช่าซื้อ หรือจัดหาให้ไม่ว่าด้วยประการใดๆ โดยเรียกค่าตอบแทนเป็นเงินหรือผลประโยชน์อย่างอื่น ตลอดจนการเสนอหรือการชักชวนเพื่อการดังกล่าวด้วย<br />
“สินค้า” หมายความว่า สิ่งของที่ผลิตหรือมีไว้เพื่อขาย<br />
“บริการ” หมายความว่า การรับจัดทำการงาน การให้สิทธิใดๆ หรือการให้ใช้หรือให้ประโยชน์ในทรัพย์สินหรือกิจการใดๆ โดยเรียกค่าตอบแทนเป็นเงินหรือผลประโยชน์อื่นแต่ไม่รวมถึงการจ้างแรงงานตาม กฎหมายแรงงาน<br />
“ผลิต” หมายความว่า ทำ ผสม ปรุง ประกอบ ประดิษฐ์ หรือแปรสภาพและหมายความรวมถึงการเปลี่ยนรูป การดัดแปลง การคัดเลือก หรือการแบ่งบรรจุ<br />
“ผู้บริโภค” หมายความว่า ผู้ซื้อหรือผู้ได้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้ซึ่งได้รับการเสนอหรือ การชักชวนจากผู้ประกอบธุรกิจเพื่อให้ซื้อสินค้าหรือรับบริการ และหมายความรวมถึงผู้ใช้สินค้าหรือผู้ได้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจโดยชอบ แม้มิได้เป็นผู้เสียค่าตอบแทนก็ตาม”<br />
“ผู้ประกอบธุรกิจ” หมายความว่า ผู้ขาย ผู้ผลิตเพื่อขาย ผู้สั่งหรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อขายหรือผู้ซื้อเพื่อขายต่อซึ่งสินค้า หรือผู้ให้บริการ และหมายความรวมถึงผู้ประกอบกิจการโฆษณาด้วย<br />
“ข้อความ” หมายความรวมถึงการกระทำให้ปรากฏด้วยตัวอักษร ภาพ ภาพยนตร์ แสง เสียง เครื่องหมายหรือการกระทำอย่างใดๆ ที่ทำให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าใจความหมายได้<br />
“โฆษณา” หมายความถึงกระทำการไม่ว่าโดยวิธีใดๆ ให้ประชาชนเห็นหรือทราบข้อความ เพื่อประโยชน์ในทางการค้า<br />
“สื่อโฆษณา” หมายความว่า สิ่งที่ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา เช่นหนังสือพิมพ์สิ่งพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ ไปรษณีย์โทรเลขโทรศัพท์ หรือป้าย<br />
“ฉลาก” หมายความว่า รูป รอยประดิษฐ์ กระดาษหรือสิ่งอื่นใดที่ทำให้ปรากฏข้อความเกี่ยวกับสินค้าซึ่งแสดงไว้ที่ สินค้าหรือภาชนะบรรจุหรือหีบห่อบรรจุสินค้า หรือสอดแทรกหรือรวมไว้กับสินค้าหรือภาชนะบรรจุหรือหีบห่อบรรจุสินค้าและหมาย ความรวมถึงเอกสารหรือคู่มือสำหรับใช้ประกอบกับสินค้า ป้ายที่ติดตั้งหรือแสดงไว้ที่สินค้าหรือภาชนะบรรจุหรือหีบห่อบรรจุสินค้า นั้น<br />
“สัญญา” หมายความว่า ความตกลงกันระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจเพื่อซื้อและขายสินค้าหรือให้และรับบริการ<br />
“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค<br />
“กรรมการ” หมายความว่า กรรมการคุ้มครองผู้บริโภค<br />
“พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้<br />
“รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้<br />
<b>มาตรา ๔</b> ผู้บริโภคมีสิทธิได้รับความคุ้มครองดังต่อไปนี้<br />
(๑) สิทธิที่จะได้รับข่าวสารรวมทั้งคำพรรณาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ<br />
(๒) สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าหรือบริการ<br />
(๓) สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ<br />
(๓ ทวิ) สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา<br />
(๔) สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย<br />
ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายว่าด้วยการนั้นๆ หรือพระราชบัญญัตินี้บัญญัติไว้<br />
<b>มาตรา ๕</b> ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดังต่อไปนี้<br />
(๑) นับ ชั่ง ตวง วัด ตรวจสินค้า และเก็บหรือนำสินค้าในปริมาณพอสมควรไปเป็นตัวอย่างเพื่อทำการทดสอบโดยไม่ ต้องชำระราคาสินค้านั้น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด<br />
(๒) ค้น ยึด หรืออายัดสินค้า ภาชนะหรือหีบห่อบรรจุสินค้าฉลากหรือเอกสารอื่นที่ไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติ นี้เพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำผิด ตามพระราชบัญญัตินี้<br />
(๓) เข้าไปในสถานที่หรือยานพาหนะใดๆ เพื่อตรวจสอบการผลิตสินค้า การขายสินค้าหรือบริการ รวมทั้งตรวจสอบสมุดบัญชี เอกสารและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องของผู้ประกอบธุรกิจในกรณีที่มีเหตุอันควร สงสัยว่ามีการกระทำผิดตามพระราชบัญญัตินี้<br />
(๔) มีหนังสือเรียกให้บุคคลใดๆ มาให้ถ้อยคำ หรือส่งเอกสารและหลักฐานที่จำเป็นเพื่อประกอบการพิจารณาของพนักงานเจ้าหน้าที่<br />
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควร<br />
<b>มาตรา ๖</b> ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๕ (๓) ถ้าไม่เป็นการเร่งด่วนให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือ ผู้ครอบครองสถานที่หรือยานพาหนะนั้นทราบล่วงหน้าตามสมควรก่อน และให้กระทำการต่อหน้าผู้ครอบครองสถานที่หรือยานพาหนะ หรือถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่อยู่ในที่นั้น ก็ให้กระทำต่อหน้าบุคคลอื่นอย่างน้อยสองคนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ร้องขอ มาเป็นพยาน<br />
การค้นตามมาตรา ๕ (๒) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่กระทำได้เฉพาะเวลาระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก<br />
<b>มาตรา ๗</b> ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวเมื่อผู้ที่เกี่ยวข้องร้องขอ<br />
บัตรประจำตัวของพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้เป็นไปตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง<br />
<b>มาตรา ๘</b> ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ และออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้<br />
กฎกระทรวงนั้น เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้<br />
<br />
<center><b>หมวด ๑<br />
คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค</b><hr width="30%" /></center> <b>มาตรา ๙</b> ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค” ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงคมนาคม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกินแปดคนซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการ และเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นกรรมการและเลขานุการ<br />
<b>มาตรา ๑๐</b> คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่ดังต่อไปนี้<br />
(๑) พิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์จากผู้บริโภคที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจ<br />
(๒) ดำเนินการเกี่ยวกับสินค้าที่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภคตามมาตรา ๓๖<br />
(๓) แจ้งหรือโฆษณาข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย หรือเสื่อมเสียแก่สิทธิของผู้บริโภค ในการนี้จะระบุชื่อสินค้าหรือบริการ หรือชื่อของผู้ประกอบธุรกิจด้วยก็ได้<br />
(๔) ให้คำปรึกษาและแนะนำแก่คณะกรรมการเฉพาะเรื่อง และพิจารณาวินิจฉัยการอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง<br />
(๕) วางระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการเฉพาะเรื่องและคณะอนุกรรมการ<br />
(๖) สอดส่องเร่งรัดพนักงานเจ้าหน้าที่ ส่วนราชการ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐให้ปฏิบัติการตามอำนาจและหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด ตลอดจนเร่งรัดพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวกับการละเมิด สิทธิของผู้บริโภค<br />
(๗) ดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคที่คณะกรรมการเห็นสมควรหรือมีผู้ร้องขอตามมาตรา ๓๙<br />
(๘) รับรองสมาคมตามมาตรา ๔๐<br />
(๙) เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับนโยบายและมาตรการในการคุ้มครองผู้ บริโภค และพิจารณาให้ความเห็นในเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคตามที่คณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีมอบหมาย<br />
(๑๐) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่มีกฎหมายกำหนดไว้ให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการ<br />
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรานี้ คณะกรรมการอาจมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นผู้ปฏิบัติ การหรือเตรียมข้อเสนอมายังคณะกรรมการเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไปได้<br />
<b>มาตรา ๑๑</b> ให้กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง อยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี<br />
กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้<br />
<b>มาตรา ๑๒</b> นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๑๑ กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ<br />
(๑) ตาย<br />
(๒) ลาออก<br />
(๓) คณะรัฐมนตรีให้ออก<br />
(๔) เป็นบุคคลล้มละลาย<br />
(๕) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ<br />
(๖) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ<br />
ในกรณีที่กรรมการพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ คณะรัฐมนตรีอาจแต่งตั้งผู้อื่นเป็นกรรมการแทนได้และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้ง ให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน<br />
ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการเพิ่มขึ้นในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่ง ตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ในตำแหน่ง ให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการเพิ่มขึ้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระ ที่เหลืออยู่ของกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว<br />
<b>มาตรา ๑๓</b> ในการประชุมคณะกรรมการ ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อยู่ในที่ประชุม ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม<br />
การประชุมคณะกรรมการทุกคราวต้องมีกรรมการมาประชุมไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม<br />
การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด<br />
<b>มาตรา ๑๔</b> ให้มีคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง ดังต่อไปนี้<br />
(๑) คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณา<br />
(๒) คณะกรรมการว่าด้วยฉลาก<br />
คณะกรรมการเฉพาะเรื่อง ประกอบด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในเรื่องที่เกี่ยวข้องตามที่คณะกรรมการแต่ง ตั้งขึ้น มีจำนวนไม่น้อยกว่าเจ็ดคนแต่ไม่เกินสิบสามคน<br />
กรรมการเฉพาะเรื่อง อยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี และให้นำมาตรา ๑๑ วรรคสอง และมาตรา ๑๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม<br />
คณะกรรมการเฉพาะเรื่อง มีอำนาจและหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้และตามที่คณะกรรมการมอบหมาย<br />
(๓) คณะกรรมการว่าด้วยสัญญา<br />
<b>มาตรา ๑๕</b> คณะกรรมการและคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ คณะกรรมการหรือคณะกรรมการเฉพาะเรื่องมอบหมายก็ได้<br />
<b>มาตรา ๑๖</b> การประชุมของคณะกรรมการเฉพาะเรื่องและคณะอนุกรรมการให้นำมาตรา ๑๓ มาใช้บังคับโดยอนุโลม<br />
<b>มาตรา ๑๗</b> คณะกรรมการและคณะกรรมการเฉพาะเรื่องมีอำนาจสั่งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดส่ง เอกสารหรือข้อมูลที่เกี่ยวกับเรื่องที่มีผู้ร้องทุกข์หรือเรื่องอื่นใดที่ เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคมาพิจารณาได้ ในการนี้จะเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงด้วยก็ได้<br />
<b>มาตรา ๑๘</b> ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ คณะกรรมการหรือคณะกรรมการเฉพาะเรื่องต้องให้โอกาสแก่ผู้ถูกกล่าวหาหรือสงสัย ว่ากระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงและแสดงความคิดเห็นตามสมควร เว้นแต่ในกรณีที่จำเป็นและเร่งด่วน<br />
การกำหนดหรือการออกคำสั่งในเรื่องใดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้คณะกรรมการหรือคณะกรรมการเฉพาะเรื่องคำนึงถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น แก่ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจ และในกรณีที่เห็นสมควรคณะกรรมการหรือคณะกรรมการเฉพาะเรื่องจะกำหนดเงื่อนไข หรือวิธีการชั่วคราวในการบังคับให้เป็นไปตามการกำหนดหรือการออกคำสั่งนั้นก็ ได้<br />
<b>มาตรา ๑๙</b> ให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคขึ้นในสำนักนายกรัฐมนตรีให้ มีเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคมีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลโดยทั่วไป และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และจะให้มีรองเลขาธิการและผู้ช่วยเลขาธิการเป็นผู้ช่วยปฏิบัติราชการด้วยก็ ได้<br />
<b>มาตรา ๒๐</b> ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคมีอำนาจและหน้าที่ดังต่อไปนี้<br />
(๑) รับเรื่องราวร้องทุกข์จากผู้บริโภคที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายอัน เนื่องมาจากการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการ<br />
(๒) ติดตามและสอดส่องพฤติการณ์ของผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค และจัดให้มีการทดสอบหรือพิสูจน์สินค้าหรือบริการใดๆ ตามที่เห็นสมควรและจำเป็นเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค<br />
(๓) สนับสนุนหรือทำการศึกษาและวิจัยปัญหาเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานอื่น<br />
(๔) ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการศึกษาแก่ผู้บริโภคในทุกระดับการศึกษาเกี่ยวกับความปลอดภัยและอันตรายที่อาจได้รับจากสินค้าหรือบริการ<br />
(๕) ดำเนินการเผยแพร่วิชาการ และให้ความรู้และการศึกษาแก่ผู้บริโภคเพื่อสร้างนิสัยในการบริโภคที่เป็นการ ส่งเสริมพลานามัย ประหยัด และใช้ทรัพยากรของชาติให้เป็นประโยชน์มากที่สุด<br />
(๖) ประสานงานกับส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุม ส่งเสริม หรือกำหนดมาตรฐานของสินค้าหรือบริการ<br />
(๗) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่คณะกรรมการหรือคณะกรรมการเฉพาะเรื่องมอบหมาย<br />
<br />
<center><b>หมวด ๒<br />
การคุ้มครองผู้บริโภค</b><hr width="30%" /></center> <b>มาตรา ๒๑</b> ในกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการใดได้บัญญัติเรื่องใดไว้โดยเฉพาะแล้วให้บังคับตาม บทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการนั้น และให้นำบทบัญญัติในหมวดนี้ไปใช้บังคับได้เท่าที่ไม่ซ้ำหรือขัดกับบทบัญญัติ ดังกล่าว เว้นแต่<br />
(๑) ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภคเป็นส่วนรวม หากปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายดังกล่าวยังมิได้มีการดำเนินการ หรือดำเนินการยังไม่ครบขั้นตอนตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น และมิได้ออกคำสั่งเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคตามกฎหมายดังกล่าวภายในเก้า สิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งจากคณะกรรมการเฉพาะเรื่องหรือคณะ กรรมการ ให้คณะกรรมการเฉพาะเรื่องหรือคณะกรรมการเสนอเรื่องให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา ออกคำสั่งตามความในหมวดนี้ได้<br />
(๒) ในกรณีตาม (๑) ถ้ามีความจำเป็นเร่งด่วนอันมิอาจปล่อยให้เนิ่นช้าต่อไปได้ให้คณะกรรมการ เฉพาะเรื่องหรือคณะกรรมการเสนอเรื่องให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาออกคำสั่งตาม ความในหมวดนี้ได้โดยไม่ต้องมีหนังสือแจ้งหรือรอให้ครบกำหนดเก้าสิบวันตาม เงื่อนไขใน (๑)<br />
ในกรณีที่กฎหมายดังกล่าวมิได้มีบทบัญญัติให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ ตามกฎหมายออกคำสั่งเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคตามที่บัญญัติในหมวดนี้ ให้คณะกรรมการเฉพาะเรื่องมีอำนาจออกคำสั่งตามความในหมวดนี้ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายอยู่แล้ว คณะกรรมการอาจมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นๆ ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัตินี้แทนคณะกรรมการเฉพาะเรื่องได้<br />
การมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นๆ ตามวรรคสอง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา<br />
<br />
<center><b>ส่วนที่ ๑<br />
การคุ้มครองผู้บริโภคในด้านการโฆษณา</b></center> <b>มาตรา ๒๒</b> การโฆษณาจะต้องไม่ใช้ข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือใช้ข้อ ความที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมเป็นส่วนรวม ทั้งนี้ ไม่ว่าข้อความดังกล่าวนั้นจะเป็นข้อความที่เกี่ยวกับแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพหรือลักษณะของสินค้าหรือบริการ ตลอดจนการส่งมอบ การจัดหา หรือการใช้สินค้าหรือบริการ<br />
ข้อความดังต่อไปนี้ ถือว่าเป็นข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือเป็นข้อความที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมเป็นส่วนรวม<br />
(๑) ข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง<br />
(๒) ข้อความที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ไม่ว่าจะกระทำโดยใช้หรืออ้างอิงรายงานทางวิชาการสถิติ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอันไม่เป็นความจริงหรือเกินความจริง หรือไม่ก็ตาม<br />
(๓) ข้อความที่เป็นการสนับสนุนโดยตรงหรือโดยอ้อมให้มีการกระทำผิดกฎหมายหรือศีลธรรม หรือนำไปสู่ความเสื่อมเสียในวัฒนธรรมของชาติ<br />
(๔) ข้อความที่จะทำให้เกิดความแตกแยกหรือเสื่อมเสียความสามัคคีในหมู่ประชาชน<br />
(๕) ข้อความอย่างอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง<br />
ข้อความที่ใช้ในการโฆษณาที่บุคคลทั่วไปสามารถรู้ได้ว่าเป็นข้อความที่ไม่อาจ เป็นความจริงได้โดยแน่แท้ ไม่เป็นข้อความที่ต้องห้ามในการโฆษณาตาม (๑)<br />
<b>มาตรา ๒๓</b> การโฆษณาจะต้องไม่กระทำด้วยวิธีการอันอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ร่างกายหรือจิตใจ หรืออันอาจก่อให้เกิดความรำคาญแก่ผู้บริโภค ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง<br />
<b>มาตรา ๒๔</b> ในกรณีที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาเห็นว่าสินค้าใดอาจเป็นอันตรายแก่ผู้ บริโภคและคณะกรรมการว่าด้วยฉลากได้กำหนดให้สินค้านั้นเป็นสินค้าที่ควบคุม ฉลากตามมาตรา ๓๐ ให้คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณามีอำนาจออกคำสั่งดังต่อไปนี้<br />
(๑) กำหนดให้การโฆษณานั้นต้องกระทำไปพร้อมกับคำแนะนำหรือคำเตือนเกี่ยวกับวิธี ใช้หรืออันตราย ตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณากำหนด ทั้งนี้ โดยคณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาจะกำหนดเงื่อนไขให้แตกต่างกันสำหรับการโฆษณา ที่ใช้สื่อโฆษณาต่างกันก็ได้<br />
(๒) จำกัดการใช้สื่อโฆษณาสำหรับสินค้านั้น<br />
(๓) ห้ามการโฆษณาสินค้านั้น<br />
ความใน (๒) และ (๓) ให้นำมาใช้บังคับแก่การโฆษณาที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาเห็นว่าการใช้หรือ ประโยชน์ของสินค้านั้นขัดต่อนโยบายทางสังคมศีลธรรมหรือวัฒนธรรมของชาติด้วย<br />
<b>มาตรา ๒๕</b> ในกรณีที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาเห็นว่าสินค้าหรือบริการใดผู้บริโภคจำ เป็นต้องทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพ ฐานะ และรายละเอียดอย่างอื่นเกี่ยวกับผู้ประกอบธุรกิจด้วย คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณามีอำนาจกำหนดให้การโฆษณาสินค้าหรือบริการนั้นต้อง ให้ข้อเท็จจริงดังกล่าวตามที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณากำหนดได้<br />
<b>มาตรา ๒๖</b> ในกรณีที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาเห็นว่าข้อความในการโฆษณาโดยทางสื่อ โฆษณาใด สมควรแจ้งให้ผู้บริโภคทราบว่าข้อความนั้นเป็นข้อความที่มีความมุ่งหมายเพื่อ การโฆษณา คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณามีอำนาจกำหนดให้การโฆษณาโดยทางสื่อโฆษณานั้นต้อง มีถ้อยคำชี้แจงกำกับให้ประชาชนทราบว่าข้อความดังกล่าวเป็นการโฆษณาได้ ทั้งนี้ คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาจะกำหนดเงื่อนไขอย่างใดให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้<br />
<b>มาตรา ๒๗</b> ในกรณีที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาเห็นว่าการโฆษณาใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๒ มาตรา ๒๓ มาตรา ๒๔ (๑) หรือมาตรา ๒๕ ให้คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณามีอำนาจออกคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลาย อย่างดังต่อไปนี้<br />
(๑) ให้แก้ไขข้อความหรือวิธีการในการโฆษณา<br />
(๒) ห้ามการใช้ข้อความบางอย่างที่ปรากฏในการโฆษณา<br />
(๓) ห้ามการโฆษณาหรือห้ามใช้วิธีการนั้นในการโฆษณา<br />
(๔) ให้โฆษณาเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดของผู้บริโภคที่อาจเกิดขึ้นแล้วตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณากำหนด<br />
ในการออกคำสั่งตาม (๔) ให้คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้บริโภคประกอบกับความสุจริตใจในการกระทำของผู้ กระทำการโฆษณา<br />
<b>มาตรา ๒๘</b> ในกรณีที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณามีเหตุอันควรสงสัยว่าข้อความใดที่ใช้ใน การโฆษณาเป็นเท็จหรือเกินความจริงตามมาตรา ๒๒ วรรคสอง (๑) ให้คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณามีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้กระทำการโฆษณาพิสูจน์ เพื่อแสดงความจริงได้<br />
ในกรณีที่ผู้กระทำการโฆษณาอ้างรายงานทางวิชาการ ผลการวิจัย สถิติการรับรองของสถาบันหรือบุคคลอื่นใด หรือยืนยันข้อเท็จจริงอันใดอันหนึ่งในการโฆษณา ถ้าผู้กระทำการโฆษณาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อความที่ใช้ในการโฆษณาเป็นความ จริงตามที่กล่าวอ้าง ให้คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณามีอำนาจออกคำสั่งตามมาตรา ๒๗ ได้ และให้ถือว่าผู้กระทำการโฆษณารู้หรือควรได้รู้ว่าข้อความนั้นเป็นความเท็จ<br />
<b>มาตรา ๒๙</b> ผู้ประกอบธุรกิจผู้ใดสงสัยว่าการโฆษณาของตนจะเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่เป็นไป ตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้ประกอบธุรกิจผู้นั้นอาจขอให้คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาพิจารณาให้ความ เห็นในเรื่องนั้นก่อนทำการโฆษณาได้ ในกรณีนี้คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาจะต้องให้ความเห็นและแจ้งให้ผู้ขอทราบ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาได้รับคำขอ ถ้าไม่แจ้งภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าคณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาให้ความเห็นชอบแล้ว<br />
การขอความเห็นและค่าป่วยการในการให้ความเห็นให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะ กรรมการว่าด้วยการโฆษณากำหนด ค่าป่วยการที่ได้รับให้นำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน<br />
การให้ความเห็นของคณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาตามวรรคหนึ่ง ไม่ถือว่าเป็นการตัดอำนาจของคณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาที่จะพิจารณาวินิจฉัย ใหม่เป็นอย่างอื่นเมื่อมีเหตุอันสมควร<br />
การใดที่ได้กระทำไปตามความเห็นของคณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาที่ให้ตามวรรคหนึ่ง มิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดทางอาญา<br />
<br />
<center><b>ส่วนที่ ๒<br />
การคุ้มครองผู้บริโภคในด้านฉลาก</b></center> <b>มาตรา ๓๐</b> ให้สินค้าที่ผลิตเพื่อขายโดยโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานและสินค้าที่สั่ง หรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อขายเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก <br />
ความในวรรคหนึ่งไม่ใช้บังคับกับสินค้าที่คณะกรรมการว่าด้วยฉลากกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา<br />
ในกรณีที่ปรากฏว่ามีสินค้าที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพ ร่างกาย หรือจิตใจ เนื่องในการใช้สินค้าหรือโดยสภาพของสินค้านั้น หรือมีสินค้าที่ประชาชนทั่วไปใช้เป็นประจำ ซึ่งการกำหนดฉลากของสินค้านั้นจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคในการที่จะทราบข้อ เท็จจริงในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้านั้นแต่สินค้าดังกล่าวไม่เป็นสินค้าที่ ควบคุมฉลากตามวรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการว่าด้วยฉลากมีอำนาจกำหนดให้สินค้านั้นเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก ได้ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา<br />
<b>มาตรา ๓๑</b> ฉลากของสินค้าที่ควบคุมฉลาก จะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้<br />
(๑) ใช้ข้อความที่ตรงต่อความจริงและไม่มีข้อความที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้า<br />
(๒) ต้องระบุข้อความดังต่อไปนี้<br />
(ก) ชื่อหรือเครื่องหมายการค้าของผู้ผลิตหรือของผู้นำเข้าเพื่อขายแล้วแต่กรณี<br />
(ข) สถานที่ผลิตหรือสถานที่ประกอบธุรกิจนำเข้า แล้วแต่กรณี <br />
(ค) ระบุข้อความที่แสดงให้เข้าใจได้ว่าสินค้านั้นคืออะไร ในกรณีที่เป็นสินค้านำเข้าให้ระบุชื่อประเทศที่ผลิตด้วย<br />
(๓) ต้องระบุข้อความอันจำเป็น ได้แก่ ราคา ปริมาณ วิธีใช้ ข้อแนะนำ คำเตือน วัน เดือน ปีที่หมดอายุในกรณีเป็นสินค้าที่หมดอายุได้ หรือกรณีอื่น เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการว่าด้วยฉลากกำหนดโดยประกาศในราชกิจจา นุเบกษา <br />
ให้ผู้ประกอบธุรกิจซึ่งเป็นผู้ผลิตเพื่อขายหรือผู้สั่งหรือผู้นำเข้ามาในราช อาณาจักร เพื่อขายซึ่งสินค้าที่ควบคุมฉลาก แล้วแต่กรณี เป็นผู้จัดทำฉลากก่อนขายและฉลากนั้นต้องมีข้อความดังกล่าวในวรรคหนึ่ง ในการนี้ ข้อความตามวรรคหนึ่ง (๒) และ (๓) ต้องจัดทำตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการว่าด้วยฉลากกำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา<br />
<b>มาตรา ๓๒</b> การกำหนดข้อความของฉลากตามมาตรา ๓๐ ต้องไม่เป็นการบังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องเปิดเผยความลับทางการผลิต เว้นแต่ข้อความดังกล่าวจะเป็นสิ่งจำเป็นที่เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยและความ ปลอดภัยของผู้บริโภค<br />
<b>มาตรา ๓๓</b> เมื่อคณะกรรมการว่าด้วยฉลากเห็นว่าฉลากใดไม่เป็นไปตามมาตรา ๓๑ คณะกรรมการว่าด้วยฉลากมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเลิกใช้ฉลากดังกล่าว หรือดำเนินการแก้ไขฉลากนั้นให้ถูกต้อง<br />
<b>มาตรา ๓๔</b> ผู้ประกอบธุรกิจผู้ใดสงสัยว่าฉลากของตนจะเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่เป็นไปตาม มาตรา ๓๑ ผู้ประกอบธุรกิจผู้นั้นอาจขอให้คณะกรรมการว่าด้วยฉลากพิจารณาให้ความเห็นใน ฉลากนั้นก่อนได้ ในกรณีนี้ให้นำมาตรา ๒๙ มาใช้บังคับโดยอนุโลม<br />
<b>มาตรา ๓๕</b> เพื่อประโยชน์ในการควบคุมและการตรวจสอบการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าที่ ควบคุมฉลาก รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจในสินค้าดัง กล่าวต้องจัดทำและเก็บรักษาบัญชีเอกสารและหลักฐานเพื่อให้นักงานเจ้าหน้าที่ ทำการตรวจสอบได้<br />
วิธีจัดทำและเก็บรักษาบัญชี เอกสารและหลักฐานตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง<br />
<br />
<center><b>ส่วนที่ ๒ ทวิ<br />
การคุ้มครองผู้บริโภคในด้านสัญญา</b></center> <b>มาตรา ๓๕ ทวิ</b> ในการประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการใด ถ้าสัญญาซื้อขายหรือสัญญาให้บริการนั้นมีกฎหมายกำหนดให้ต้องทำเป็นหนังสือ หรือที่ตามปกติประเพณีทำเป็นหนังสือ คณะกรรมการว่าด้วยสัญญามีอำนาจกำหนดให้การประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้ บริการนั้นเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญาได้<br />
ในการประกอบธุรกิจที่ควบคุมสัญญา สัญญาที่ผู้ประกอบธุรกิจทำกับผู้บริโภคจะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้<br />
(๑) ใช้ข้อสัญญาที่จำเป็นซึ่งหากมิได้ใช้ข้อสัญญาเช่นนั้น จะทำให้ผู้บริโภคเสียเปรียบผู้ประกอบธุรกิจเกินสมควร<br />
(๒) ห้ามใช้ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค<br />
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และรายละเอียดที่คณะกรรมการว่าด้วยสัญญากำหนด และเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นส่วนรวม คณะกรรมการว่าด้วยสัญญาจะให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดทำสัญญาตามแบบที่คณะกรรมการ ว่าด้วยสัญญากำหนดก็ได้<br />
การกำหนดตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา<br />
<b>มาตรา ๓๕ ตรี</b> เมื่อคณะกรรมการว่าด้วยสัญญากำหนดให้สัญญาของการประกอบธุรกิจที่ควบคุมสัญญา ต้องใช้ข้อสัญญาใด หรือต้องใช้ข้อสัญญาใดโดยมีเงื่อนไขในการใช้ข้อสัญญานั้นด้วยตามมาตรา ๓๕ ทวิ แล้ว ถ้าสัญญานั้นไม่ใช้ข้อสัญญาดังกล่าวหรือใช้ข้อสัญญาดังกล่าวแต่ไม่เป็นไปตาม เงื่อนไข ให้ถือว่าสัญญานั้นใช้ข้อสัญญาดังกล่าวหรือใช้ข้อสัญญาดังกล่าวตามเงื่อนไข นั้น แล้วแต่กรณี<br />
<b>มาตรา ๓๕ จัตวา</b> เมื่อคณะกรรมการว่าด้วยสัญญากำหนดให้สัญญาของการประกอบธุรกิจที่ควบคุมสัญญา ต้องไม่ใช้ข้อสัญญาใดตามมาตรา ๓๕ ทวิ แล้ว ถ้าสัญญานั้นใช้ข้อสัญญาดังกล่าว ให้ถือว่าสัญญานั้นไม่มีข้อสัญญาเช่นว่านั้น<br />
<b>มาตรา ๓๕ เบญจ</b> คณะกรรมการว่าด้วยสัญญามีอำนาจกำหนดให้การประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้ บริการอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงินได้<br />
ในการประกอบธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน หลักฐานการรับเงินจะต้องมีลักษณะ ดังต่อไปนี้<br />
(๑) มีรายการและใช้ข้อความที่จำเป็น ซึ่งหากมิได้มีรายการหรือมิได้ใช้ข้อความเช่นนั้นจะทำให้ผู้บริโภคเสีย เปรียบผู้ประกอบธุรกิจเกินสมควร<br />
(๒) ห้ามใช้ข้อความที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค<br />
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และรายละเอียดที่คณะกรรมการว่าด้วยสัญญากำหนด<br />
การกำหนดตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา<br />
<b>มาตรา ๓๕ ฉ</b> เมื่อคณะกรรมการว่าด้วยสัญญากำหนดให้หลักฐานการรับเงินของการประกอบธุรกิจ ที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงินต้องใช้ข้อความใด หรือต้องใช้ข้อความใด โดยมีเงื่อนไขในการใช้ข้อความนั้นด้วย หรือต้องไม่ใช้ข้อความใดตามมาตรา ๓๕ เบญจ แล้ว ให้นำมาตรา ๓๕ ตรี และมาตรา ๓๕ จัตวา มาใช้บังคับแก่หลักฐานการรับเงินดังกล่าวโดยอนุโลม<br />
<b>มาตรา ๓๕ สัตต</b> ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการโดยให้คำมั่นว่าจะทำสัญญา รับประกันให้ไว้แก่ผู้บริโภค สัญญาดังกล่าวต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้แทน และต้องส่งมอบสัญญานั้นแก่ผู้บริโภคพร้อมกับการส่งมอบสินค้าหรือให้บริการ<br />
ถ้าสัญญาตามวรรคหนึ่งทำเป็นภาษาต่างประเทศต้องมีคำแปลภาษาไทยกำกับไว้ด้วย<br />
<b>มาตรา ๓๕ อัฏฐ</b> ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ส่งมอบสัญญาที่มีข้อสัญญาหรือมีข้อสัญญาและแบบถูก ต้องตามมาตรา ๓๕ ทวิ หรือส่งมอบหลักฐานการรับเงินที่มีรายการและข้อความถูกต้องตามมาตรา ๓๕ เบญจ ให้แก่ผู้บริโภคภายในระยะเวลาที่เป็นทางปฏิบัติตามปกติสำหรับการประกอบ ธุรกิจประเภทนั้น ๆ หรือภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการว่าด้วยสัญญากำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาสุดแต่ระยะเวลาใดจะถึงก่อน<br />
<b>มาตรา ๓๕ นว</b> ผู้ประกอบธุรกิจผู้ใดสงสัยว่าแบบสัญญาหรือแบบหลักฐานการรับเงินของตนจะเป็น การฝ่าฝืนหรือไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้ประกอบธุรกิจผู้นั้นอาจขอให้คณะกรรมการว่าด้วยสัญญาให้ความเห็นในแบบ สัญญาหรือแบบหลักฐานการรับเงินนั้นก่อนได้ ในกรณีนี้ให้นำมาตรา ๒๙ มาใช้บังคับโดยอนุโลม<br />
<br />
<center><b>ส่วนที่ ๓<br />
การคุ้มครองผู้บริโภคโดยประการอื่น</b></center> <b>มาตรา ๓๖</b> เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าสินค้าใด อาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค คณะกรรมการอาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจดำเนินการทดสอบหรือพิสูจน์สินค้านั้น ได้ ถ้าผู้ประกอบธุรกิจไม่ดำเนินการทดสอบหรือพิสูจน์สินค้าหรือดำเนินการล่าช้า โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร คณะกรรมการจะจัดให้มีการพิสูจน์โดยผู้ประกอบธุรกิจเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายก็ ได้<br />
ถ้าผลจากการทดสอบหรือพิสูจน์ปรากฏว่าสินค้านั้นอาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค และกรณีไม่อาจป้องกันอันตรายที่จะเกิดจากสินค้านั้นได้โดยการกำหนดฉลากตาม มาตรา ๓๐ หรือตามกฎหมายอื่น ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งห้ามขายสินค้านั้น และถ้าเห็นสมควรจะสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนแปลงสินค้านั้นภายใต้ เงื่อนไขตามที่คณะกรรมการกำหนดก็ได้ ในกรณีที่สินค้านั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือเป็นที่สงสัยว่าผู้ประกอบ ธุรกิจจะเก็บสินค้านั้นไว้เพื่อขายต่อไป คณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจทำลายหรือจะจัดให้มีการทำลายโดยผู้ ประกอบธุรกิจเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายก็ได้<br />
ในกรณีจำเป็นและเร่งด่วน ถ้าคณะกรรมการมีเหตุที่น่าเชื่อว่าสินค้าใดอาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งห้ามขายสินค้านั้นเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะได้มีการ ทดสอบหรือพิสูจน์สินค้าตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง<br />
การสั่งห้ามขายสินค้าตามวรรคสองและวรรคสาม ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา<br />
<b>มาตรา ๓๗</b> <i>(ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๑)</i><br />
<b>มาตรา ๓๘</b> <i>(ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๑)</i><br />
<b>มาตรา ๓๙</b> ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นสมควรเข้าดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของผู้ บริโภค หรือเมื่อได้รับคำร้องขอจากผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิ ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าการดำเนินคดีนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคเป็นส่วน รวม คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานอัยการโดยความเห็นชอบของอธิบดีกรมอัยการ หรือข้าราชการในสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งมีคุณวุฒิไม่ต่ำ กว่าปริญญาตรีทางนิติศาสตร์ เป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคเพื่อให้มีหน้าที่ดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญา แก่ผู้กระทำการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคในศาล และเมื่อคณะกรรมการได้แจ้งไปยังกระทรวงยุติธรรมเพื่อแจ้งให้ศาลทราบแล้ว ให้เจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคมีอำนาจดำเนินคดีตามที่คณะกรรมการมอบหมาย ได้<br />
ในการดำเนินคดีในศาล ให้เจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคมีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์สิน หรือค่าเสียหายให้แก่ผู้บริโภคที่ร้องขอได้ด้วย และในการนี้ให้ได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง<br />
<b>มาตรา ๔๐</b> สมาคมใดมีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองผู้บริโภคหรือต่อต้านการแข่งขันอันไม่ เป็นธรรมทางการค้า และข้อบังคับของสมาคมดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับคณะกรรมการ สมาชิก และวิธีการดำเนินการของสมาคมเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง สมาคมนั้นอาจยื่นคำขอให้คณะกรรมการรับรองเพื่อให้สมาคมนั้นมีสิทธิและอำนาจ ฟ้องตามมาตรา ๔๑ ได้<br />
การยื่นคำขอตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง<br />
การรับรองสมาคมตามวรรคหนึ่ง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา<br />
<b>มาตรา ๔๑</b> ในการดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคให้สมาคมที่คณะ กรรมการรับรองตามมาตรา ๔๐ มีสิทธิในการฟ้องคดีแพ่ง คดีอาญาหรือดำเนินกระบวนพิจารณาใดๆ ในคดีเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคได้ และให้มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายแทนสมาชิกของสมาคมได้ ถ้ามีหนังสือมอบหมายให้เรียกค่าเสียหายแทนจากสมาชิกของสมาคม<br />
ในการดำเนินคดีตามวรรคหนึ่ง มิให้สมาคมถอนฟ้อง เว้นแต่ศาลจะอนุญาตเมื่อศาลเห็นว่าการถอนฟ้องนั้นไม่เป็นผลเสียต่อการคุ้ม ครองผู้บริโภคเป็นส่วนรวมสำหรับคดีแพ่งเกี่ยวกับการเรียกค่าเสียหายแทน สมาชิกของสมาคมการถอนฟ้องหรือการพิพากษาในกรณีที่คู่ความตกลงหรือประนี ประนอมยอมความกัน จะต้องมีหนังสือแสดงความยินยอมของสมาชิกผู้มอบหมายให้เรียกค่าเสียหายแทนมา แสดงต่อศาลด้วย<br />
<b>มาตรา ๔๒</b> นอกจากต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และกฎหมายอื่น แล้ว สมาคมที่คณะกรรมการรับรองตามมาตรา ๔๐ ต้องปฏิบัติตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด<br />
เมื่อปรากฏว่าสมาคมที่คณะกรรมการรับรองตามมาตรา ๔๐ สมาคมใดไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด หรือเมื่อมีพฤติการณ์ปรากฏว่าสมาคมนั้นดำเนินการเพื่อฟ้องคดีโดยไม่สุจริต ให้คณะกรรมการมีอำนาจเพิกถอนการรับรองสมาคมนั้นได้<br />
การเพิกถอนการรับรองสมาคมใดตามมาตรานี้ ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา<br />
ในกรณีที่สมาคมซึ่งถูกเพิกถอนการรับรองตามมาตรานี้ได้ฟ้องคดีใดไว้ต่อศาลและ คดีนั้นยังค้างอยู่ในการพิจารณาของศาล ให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสีย<br />
<br />
<center><b>หมวด ๓<br />
การอุทธรณ์</b><hr width="30%" /></center> <b>มาตรา ๔๓</b> ในกรณีที่ผู้ได้รับคำสั่งของคณะกรรมการเฉพาะเรื่องตามมาตรา ๒๗ หรือมาตรา ๒๘ วรรคสอง ไม่พอใจคำสั่งดังกล่าว ให้มีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการได้<br />
<b>มาตรา ๔๔</b> การอุทธรณ์ตามมาตรา ๔๓ ให้ยื่นต่อคณะกรรมการภายในสิบวันนับแต่วันที่ผู้อุทธรณ์ได้รับทราบคำสั่งของคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง<br />
หลักเกณฑ์และวิธีการยื่นอุทธรณ์ และวิธีพิจารณาอุทธรณ์ ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง<br />
การอุทธรณ์คำสั่งตามวรรคหนึ่ง ย่อมไม่เป็นการทุเลาการบังคับตามคำสั่งของคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง เว้นแต่คณะกรรมการจะสั่งเป็นอย่างอื่นเป็นการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัย อุทธรณ์<br />
คำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด<br />
<br />
<center><b>หมวด ๔<br />
บทกำหนดโทษ</b><hr width="30%" /></center> <b>มาตรา ๔๕</b> ผู้ใดขัดขวางหรือไม่อำนวยความสะดวก ไม่ให้ถ้อยคำ หรือไม่ส่งเอกสาร หรือหลักฐานแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติการตามมาตรา ๕ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />
<b>มาตรา ๔๖</b> ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการหรือคณะกรรมการเฉพาะเรื่องตามมาตรา ๑๗ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />
<b>มาตรา ๔๗</b> ผู้ใดโดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่น โฆษณาหรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จ หรือข้อความที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นว่า นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />
ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งกระทำผิดซ้ำอีก ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />
<b>มาตรา ๔๘</b> ผู้ใดโฆษณาโดยใช้ข้อความตามมาตรา ๒๒ (๓) หรือ (๔) หรือข้อความตามที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๒๒ (๕) หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๓ มาตรา ๒๔ มาตรา ๒๕ หรือมาตรา ๒๖ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />
<b>มาตรา ๔๙</b> ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาซึ่งสั่งตามมาตรา ๒๗ หรือมาตรา ๒๘ วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />
<b>มาตรา ๕๐</b> ถ้าการกระทำตามมาตรา ๔๗ มาตรา ๔๘ หรือมาตรา ๔๙ เป็นการกระทำของเจ้าของสื่อโฆษณา หรือผู้ประกอบกิจการโฆษณา ผู้กระทำต้องระวางโทษเพียงกึ่งหนึ่งของโทษที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น<br />
<b>มาตรา ๕๑</b> ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๔๗ มาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ หรือมาตรา ๕๐ เป็นความผิดต่อเนื่อง ผู้กระทำต้องระวางโทษปรับวันละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือไม่เกินสองเท่าของ ค่าใช้จ่ายที่ใช้สำหรับการโฆษณานั้น ตลอดระยะเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม<br />
<b>มาตรา ๕๒</b> ผู้ใดขายสินค้าที่ควบคุมฉลากตามมาตรา ๓๐ โดยไม่มีฉลากหรือมีฉลากแต่ฉลากหรือการแสดงฉลากนั้นไม่ถูกต้อง หรือขายสินค้าที่มีฉลากที่คณะกรรมการว่าด้วยฉลากสั่งเลิกใช้ตามมาตรา ๓๓ ทั้งนี้ โดยรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าการไม่มีฉลากหรือการแสดงฉลากดังกล่าวนั้นไม่ถูก ต้องตามกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ <br />
ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำของผู้ผลิตเพื่อขาย หรือผู้สั่งหรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อขาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />
<b>มาตรา ๕๓</b> ผู้ประกอบธุรกิจผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการว่าด้วยฉลากซึ่งสั่ง ตามมาตรา ๓๓ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />
<b>มาตรา ๕๔</b> ผู้ใดรับจ้างทำฉลากที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือรับจ้างติดตรึงฉลากที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายกับสินค้า โดยรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าฉลากดังกล่าวนั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท<br />
<b>มาตรา ๕๕</b> ผู้ประกอบธุรกิจผู้ใดไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๓๕ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท<br />
<b>มาตรา ๕๖</b> ผู้ประกอบธุรกิจผู้ใด ขายสินค้าที่คณะกรรมการสั่งห้ามขายเพราะสินค้านั้นอาจเป็นอันตรายแก่ผู้ บริโภคตามมาตรา ๓๖ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />
ถ้าผู้ประกอบธุรกิจนั้นเป็นผู้ผลิตเพื่อขายหรือเป็นผู้สั่งหรือนำเข้ามาใน ราชอาณาจักรเพื่อขาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />
<b>มาตรา ๕๗</b> ผู้ประกอบธุรกิจผู้ใดไม่ส่งมอบสัญญาที่มีข้อสัญญาหรือมีข้อสัญญาและแบบถูก ต้องตามมาตรา ๓๕ ทวิ หรือไม่ส่งมอบหลักฐานการรับเงินที่มีรายการและข้อความถูกต้องตามมาตรา ๓๕ เบญจ ให้แก่ผู้บริโภคภายในระยะเวลาตามมาตรา ๓๕ อัฏฐ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />
ผู้ประกอบธุรกิจผู้ใด ส่งมอบหลักฐานการรับเงิน โดยลงจำนวนเงินมากกว่าที่ผู้บริโภคจะต้องชำระและได้รับเงินจำนวนนั้นไปจาก ผู้บริโภคแล้วต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับตั้งแต่ห้าร้อยบาทถึงหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในการประกอบธุรกิจ เช่นนั้นแล้ว<br />
<b>มาตรา ๕๗ ทวิ</b> ผู้ประกอบธุรกิจผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๓๕ สัตต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ<br />
<b>มาตรา ๕๘</b> ผู้ใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ภายในสถานที่ประกอบธุรกิจของผู้ประกอบ ธุรกิจและการกระทำนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ประกอบธุรกิจ ให้สันนิษฐานว่าผู้ประกอบธุรกิจเป็นผู้กระทำผิดร่วมด้วยเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ ว่าตนไม่สามารถคาดหมายได้ว่าบุคคลนั้นจะกระทำความผิดแม้จะใช้ความระมัดระวัง ตามสมควรแล้ว<br />
<b>มาตรา ๕๙</b> ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดซึ่งต้องรับโทษตามพระราชบัญญัตินี้เป็นนิติบุคคล กรรมการหรือผู้จัดการหรือผู้รับผิดชอบในการดำเนินการของนิติบุคคลนั้นต้อง รับโทษตามที่กฎหมายกำหนดสำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วยเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น<br />
<b>มาตรา ๖๐</b> ผู้ใดโดยเจตนาทุจริต ใช้ จ้าง วาน ยุยง หรือดำเนินการให้สมาคมที่คณะกรรมการรับรองตามมาตรา ๔๐ ฟ้องร้องผู้ประกอบธุรกิจคนใดเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญาต่อศาล เพื่อกลั่นแกล้งผู้ประกอบธุรกิจนั้นให้ได้รับความเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ<br />
<b>มาตรา ๖๑</b> ผู้ใดเปิดเผยข้อเท็จจริงใดเกี่ยวกับกิจการของผู้ประกอบธุรกิจอันเป็นข้อเท็จ จริงที่ตามปกติวิสัยของผู้ประกอบธุรกิจจะพึงสงวนไว้ไม่เปิดเผย ซึ่งตนได้มาหรือล่วงรู้เนื่องจากการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่เป็นการเปิดเผยในการปฏิบัติราชการหรือเพื่อประโยชน์ในการสอบสวน หรือการพิจารณาคดี<br />
ผู้ใดได้มาหรือล่วงรู้ข้อเท็จจริงใดจากบุคคลตามวรรคหนึ่งเนื่องในการปฏิบัติ ราชการหรือการสอบสวนหรือการพิจารณาคดี แล้วเปิดเผยข้อเท็จจริงนั้นในประการที่น่าจะเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดต้อง ระวางโทษเช่นเดียวกัน<br />
<b>มาตรา ๖๒</b> บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ คณะกรรมการมีอำนาจเปรียบเทียบได้ และในการนี้ให้คณะกรรมการมีอำนาจมอบหมายให้คณะกรรมการเฉพาะเรื่องหรือคณะ อนุกรรมการพนักงานสอบสวนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ดำเนินการเปรียบเทียบได้โดยจะกำหนดหลักเกณฑ์ในการเปรียบเทียบหรือเงื่อนไข ประการใดๆ ให้แก่ผู้ได้รับมอบหมายตามที่เห็นสมควรด้วยก็ได้<br />
ภายใต้บังคับของบทบัญญัติตามวรรคหนึ่งในการสอบสวนถ้าพนักงานสอบสวนพบว่า บุคคลใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ และบุคคลนั้นยินยอมให้เปรียบเทียบ ให้พนักงานสอบสวนส่งเรื่องมายังคณะกรรมการหรือผู้ซึ่งคณะกรรมการมอบหมายให้ มีอำนาจเปรียบเทียบตามวรรคหนึ่งภายในเจ็ดวัน นับแต่วันที่ผู้นั้นแสดงความยินยอมให้เปรียบเทียบ<br />
เมื่อผู้กระทำความผิดได้เสียค่าปรับตามที่เปรียบเทียบแล้ว ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา<br />
<b>ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ</b><br />
ส. โหตระกิตย์<br />
<b>รองนายกรัฐมนตรี</b><br />
<b>หมายเหตุ:-</b> เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากปัจจุบันนี้การเสนอสินค้าและบริการต่าง ๆ ต่อประชาชนนับวันแต่จะเพิ่มมากขึ้นผู้ประกอบธุรกิจการค้าและผู้ที่ประกอบ ธุรกิจโฆษณาได้นำวิชาการในทางการตลาดและทางการโฆษณามาใช้ในการส่งเสริมการ ขายสินค้าและบริการ ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้ผู้บริโภคตกอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบ เพราะผู้บริโภคไม่อยู่ในฐานะที่ทราบภาวะตลาด และความจริงที่เกี่ยวกับคุณภาพและราคาของสินค้าและบริการต่างๆ ได้อย่างถูกต้องทันท่วงที นอกจากนั้นในบางกรณีแม้จะมีกฎหมายให้ความคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคโดยการ กำหนดคุณภาพและราคาของสินค้าและบริการอยู่แล้วก็ตาม แต่การที่ผู้บริโภคแต่ละรายจะไปฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจการค้า หรือผู้ประกอบธุรกิจโฆษณาเมื่อมีการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค ย่อมจะเสียเวลาและค่าใช้จ่ายเป็นการไม่คุ้มค่า และผู้บริโภคจำนวนมากไม่อยู่ในฐานะที่จะสละเวลาและเสียค่าใช้จ่ายในการ ดำเนินคดีได้ และในบางกรณีก็ไม่อาจระงับหรือยับยั้งการกระทำที่จะเกิดความเสียหายแก่ผู้ บริโภคได้ทันท่วงที สมควรมีกฎหมายให้ความคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคเป็นการทั่วไป โดยกำหนดหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจการค้าและผู้ประกอบธุรกิจโฆษณาต่อผู้ บริโภค เพื่อให้ความเป็นธรรมตามสมควรแก่ผู้บริโภค ตลอดจนจัดให้มีองค์กรของรัฐที่เหมาะสมเพื่อตรวจตรา ดูแล และประสานงานการปฏิบัติงานของส่วนราชการต่าง ๆ ในการให้ความคุ้มครองผู้บริโภค จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้นeinghttp://www.blogger.com/profile/16631351927710035216noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3412673156837273380.post-73023705051259380352012-02-28T03:19:00.002-08:002012-02-28T03:19:25.905-08:005 การคุ้มครองผู้บริโภค<div class="style8"><span class="style3" lang="TH">5 การคุ้มครองผู้บริโภค</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span></div><span class="style3" lang="TH">ความหมายของการคุ้มครองผู้บริโภค</span><span class="style7" style="font-family: "MS Sans Serif";"> </span><span class="style3"><b> <br />
“บริโภค”</b> ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลว่า กิน เสพ ใช้ สิ้นเปลือง ใช้สอย จับจ่าย ดังนั้น คำว่า <br />
“ บริโภค” จึงมิได้หมายถึง กิน แต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายรวมถึง การจับจ่าย ใช้สอย การซื้อสินค้า หรือบริการต่างๆ เช่น บริการทางการแพทย์ บริการโทรคมนาคม บริการเสริมความงาม เป็นต้น</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style3" style="mso-spacerun: yes;"> </span><span class="style3" lang="TH"> <br />
ส่วนคำว่า </span><span class="style3"><b>“ผู้บริโภค”</b> หมายถึง</span><span class="style3" style="mso-spacerun: yes;"> </span> <span class="style3" lang="TH">ผู้หนึ่งผู้ใดก็ตาม ที่จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการ เพื่อการอุปโภค บริโภค อันเป็นการตอบสนองความต้องการของตนเอง</span><span class="style3" style="mso-spacerun: yes;"> </span><span class="style3" lang="TH">ทั้งนี้เป็นความต้องการทางด้านร่างกาย และรวมถึงความพึงพอใจ</span> <span class="style3"> <strong> <br />
<br />
<span class="style11">การคุ้มครองผู้บริโภค</span></strong></span><span class="style1" lang="TH"> หมายถึง การปกป้องดูแลผู้บริโภค ให้ได้รับความปลอดภัย เป็นธรรม และประหยัด จากการบริโภคสินค้าและบริการ</span><span class="style1"> </span><br />
<span class="style13" lang="TH">5.1 ความจำเป็นในการคุ้มครองผู้บริโภค</span><span class="style14" style="font-family: "MS Sans Serif";"> </span> <span class="style13" style="mso-spacerun: yes;"> </span><span class="style3" style="mso-spacerun: yes;"> </span> <span class="style3" lang="TH"> <br />
ในปัจจุบัน มีการแข่งขันกันในเชิงธุรกิจมาก</span><span class="style3" style="mso-spacerun: yes;"> </span><span class="style3" lang="TH">ทำให้ผู้ผลิตแข่งกันผลิตและบริการ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค แต่พบว่า มีผู้ผลิตจำนวนไม่น้อย ที่ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค ด้วยเหตุนี้รัฐบาล จึงต้องทำหน้าที่ดูแล และกำกับแก้ไข โดยมีจุดมุ่งหมายในการคุ้มครองผู้บริโภคดังนี้</span> <span class="style3"> <br />
1.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style3"> เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ไม่ให้เสียเปรียบผู้ผลิต</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style3"> <br />
2.</span> <span class="style3"> เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการโฆษณา</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style3"> <br />
3.</span><span class="style3"> เพื่อควบคุมสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ปลอดภัย หรือเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style3"> <br />
4.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style3"> เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ระหว่างผู้ซื้อ และผู้ขาย</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style1" lang="TH"> </span><br />
<span class="style1" lang="TH"> </span><span class="style3" lang="TH">ดังนั้น เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค ให้ได้รับความเป็นธรรมและความปลอดภัย จึงได้มีการกำหนดพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ</span><span class="style4">.ศ</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;">. 2522 ซึ่งได้บัญญัติ ถึงสิทธิ และการคุ้มครองผู้บริโภค ไว้ดังนี้ </span> <span class="style4"> <br />
</span><span class="style3" lang="TH">มาตรา </span> <span class="style4"> 4</span><span class="style3"> ผู้บริโภคมีสิทธิได้รับความคุ้มครองดังต่อไปนี้ </span> <span class="style4"> <br />
1.</span><span class="style4"> สิทธิที่จะได้รับข่าวสาร</span><span class="style3"> รวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้อง เพียงพอ เกี่ยวกับสินค้า หรือบริการ </span> <span class="style4"> <br />
2.</span><span class="style4">สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกสินค้าหรือบริการ</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
3.</span><span class="style4">สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัย จากการใช้สินค้าหรือบริการ</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
4.</span><span class="style4">สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style4" lang="TH"> </span><span class="style3" lang="TH"><br />
<br />
</span><span class="style3" lang="TH"> มาตรา </span> <span class="style4"> 5</span><span class="style3"> ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ มีอำนาจดังต่อไปนี้ </span> <span class="style4"> <br />
1. </span><span class="style4">นับ ชั่ง ตวง วัด ตรวจ สินค้า และเก็บหรือนำสินค้าในปริมาณพอสมควร ไปเป็น</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style3" lang="TH"> ตัวอย่าง เพื่อทำการทดสอบ โดยไม่ต้องชำระราคาสินค้า และทั้งนี้ตามกฎเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
2.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> ค้น ยึด หรือ อายัดสินค้า ภาชนะ หรือหีบห่อสินค้า ฉลาก หรือเอกสารอื่น ที่ไม่เป็นไป</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style3" lang="TH"> ตามพระราชบัญญัตินี้</span><span class="style3"> เพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดี ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ว่า มีการกระทำผิด ตามพระราชบัญญัตินี้ </span> <span class="style4"> <br />
3.</span><span class="style4"> เข้าไปในสถานที่หรือยานพาหนะใดๆ</span><span class="style3"> เพื่อตรวจสอบการผลิตสินค้า การขายสินค้า </span><span class="style3" lang="TH"> หรือบริการ รวมทั้งตรวจสอบสมุดบัญชี เอกสาร และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ของผู้ประกอบธุรกิจ</span><span class="style3"> ในกรณี ที่มีเหตุอันสงสัยว่า มีการกระทำผิดตามพระราชบัญญัตินี้ </span> <span class="style4"> <br />
4. </span><span class="style4">มีหนังสือเรียกให้บุคคลใดๆมาให้ถ้อยคำ</span><span class="style3"> หรือส่งเอกสาร และหลักฐานที่จำเป็นเพื่อ </span><span class="style3" lang="TH"> ประกอบการพิจารณา ของพนักงานเจ้าหน้าที่</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style3" lang="TH"> การที่ผู้บริโภคจะได้รับสิทธิตามที่บัญญัติไว้</span><span class="style3"> ก็ต่อเมื่อได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยดังนี้ </span> <span class="style4"> <br />
1.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> ผู้บริโภคมีหน้าที่ในการใช้ความระมัดระวังตามสมควร ในการซื้อสินค้า และรับ </span> <span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style3" lang="TH"> บริการต่างๆ เช่น การอ่านฉลาก</span><span class="style3"> การอ่านข้อความสัญญา การพิจารณาการโฆษณานั้นสามารถเชื่อถือได้เพียงใด </span> <span class="style4"> <br />
2.</span><span class="style4">ผู้บริโภคมีหน้าที่เก็บรักษาพยานหลักฐานต่างๆ</span><span class="style3"> ที่แสดงถึงการละเมิดสิทธิของ </span><span class="style3" lang="TH"> ผู้บริโภคไว้</span><span class="style3"> เพื่อทำการเรียกร้องตามสิทธิของตน </span> <span class="style4"> <br />
3.</span><span class="style4">เมื่อเกิดการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคขึ้น</span><span class="style3"> ผู้บริโภคมีหน้าที่ ในการดำเนินการ </span><span class="style3" lang="TH"> ร้องเรียนตามสิทธิของตน</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <b> </b></span><br />
<span class="style4"><span class="style8">5.2 ฉลากอาหาร</span> หมายถึง รูป รอยประดิษฐ์ เครื่องหมาย หรือข้อความใดๆ ที่แสดงไว้ที่ภาชนะบรรจุอาหาร หรือพื้นห่อภาชนะที่บรรจุอาหาร รายละเอียดบนฉลากอาหาร ต้องแสดงเป็นภาษาไทย และสามารถอ่านได้ชัดเจน ดังนี้</span><span class="style7" style="font-family: "MS Sans Serif";"> </span> <span class="style4"> <br />
1.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> ชื่อประเภทอาหาร</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
2.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> ชื่อและสถานที่ตั้งของผู้ผลิตอย่างชัดเจน</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
3.</span><span class="style4"> เลขทะเบียนตำหรับอาหาร หรือเลขที่อนุญาตฉลากอาหาร(ถ้ามี</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;">) </span> <span class="style4"> <br />
4.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> ปริมาณของอาหาร เป็นน้ำหนักสุทธิ หรือปริมาตรสุทธิ</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
5.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> ส่วนประกอบของอาหาร</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
6.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> เดือน ปี ที่ผลิตอาหาร หรือวันหมดอายุของอาหาร</span><span class="style3"> แล้วแต่ประเภทอาหาร </span> <span class="style4"> <br />
7.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> อื่นๆ เช่น การเจือสี การใช้สารเจือปนอาหาร ซึ่งแล้วแต่ประเภทอาหาร</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> </span><br />
<span class="style13" lang="TH">5.3 หลักในการเลือกซื้อเครื่องอุปโภคบริโภค</span><span class="style14" style="font-family: "MS Sans Serif";"> </span> <span class="style4"> <b> <br />
<span class="style11">1. </span></b> <span class="style11"> <b> การเลือกซื้ออาหาร </b></span> <br />
<span class="style16">1.1 อาหารสด</span> ประเภทเนื้อสัตว์ ควรซื้อตอนเช้าดีกว่าตอนเย็น ดูความใหม่ </span> <span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style3" lang="TH"> สีสม่ำเสมอ การเก็บรักษาควรเก็บในตู้เย็น ซึ่งไม่ควรเกิน </span><span class="style3">2 วัน แต่ถ้าต้องการเก็บนานควรแช่เย็นและไม่ควรเกิน 3 สัปดาห์ ส่วนการเลือกซื้อปลา ควรเลือกปลาที่ตาดูสดใส ไม่จมลึก เหงือกแดงสด เนื้อแน่นไม่กดบุ๋ม เกล็ดใสติดลำตัว ไม่หลุดลอก สำหรับการเลือกซื้อกุ้ง ให้เลือกกุ้งที่สีสดใส </span><span class="style3" lang="TH"> หัวแน่น ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า เช่นเดียวกันกับการซื้อหอยสด ควรเลือกหอยที่มีฝาปิด ไม่มีเมือก ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า สำหรับอาหารประเภท ผักและผลไม้ ควรเลือกซื้อผักผลไม้ตามฤดูกาล จะทำให้ซื้อได้ในราคาถูกและมีให้เลือกมากกว่า ควรเลือกซื้อผักผลไม้ที่ที่มีรอยกัดกินของหนอนแมลงอยู่บ้าง เพราะแสดงว่าปลอดภัยจากยาฆ่าแมลง</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
<span class="style16">1.2<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span></span><span class="style17"> อาหารแห้ง</span><span class="style4"> หมายถึงอาหารสำเร็จรูปที่ทำให้แห้ง อาจบรรจุซองหรือไม่ก็ได้ </span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style3" lang="TH"> เช่น โจ๊ก บะหมี่ แป้งผง อาหารกระป๋อง เป็นต้น หลักในการเลือกซื้อคือ ต้องเลือกซื้อจากร้านที่สะอาด ซองบรรจุไม่มีรูรั่ว ต้องอ่านฉลากให้ครบถ้วน ถึงชนิด ส่วนประกอบ วันเดือนปีที่ผลิต หรือวันเดือนปีที่หมดคุณภาพ ส่วนอาหารกระป๋อง ให้อ่านฉลากข้างกระป๋องให้ละเอียด ไม่ควรเลือกซื้ออาหารกระป๋องที่บุบบวมโป่ง</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> </span><br />
<span class="style4"><span class="style11"><b>2.</b> <b> เครื่องสำอาง</b></span><b> </b> <br />
<span class="style16"> เครื่องสำอาง</span> หมายถึง</span><span class="style3"> สารที่ใช้กับส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย โดยการถู ทา นวด </span><span class="style3" lang="TH"> โรย พ่น หยอด ใส่ อบ หรือวิธีอื่นใด เพื่อความสะอาด ความสวยงาม หรือส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม ในการเลือกซื้อควรพิจารณาดังแนวทางต่อไปนี้</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
2.1<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span><span class="style4">เลือกซื้อเครื่องสำอางตามความเหมาะสมกับตนเอง ใช้แล้วพอใจและไม่มีอาการ</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style3" lang="TH"> แพ้</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
2.2<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span><span class="style4">เลือกซื้อเครื่องสำอางที่มีแหล่งผลิตแน่นอน เชื่อถือได้ </span> <span class="style4"> <br />
2.3</span><span class="style4"> สังเกตฉลากเครื่องสำอาง ก่อนซื้อทุกครั้ง ฉลากควรอยู่ในสภาพเรียบร้อย </span> <span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style3" lang="TH"> ไม่ฉีกขาด มีข้อความภาษาไทย อ่านได้ชัดเจน</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
2.4<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span><span class="style4">เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของวัตถุที่ใช้กันแสงแดด วัตถุที่ใช้ระงับเชื้อ และวัตถุที่</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style3" lang="TH"> ใช้กันเสีย ต้องแจ้งชื่อ และปริมาณวัตถุที่ใช้</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
</span><span class="style4">2.5<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span><span class="style4">สำหรับเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของวัตถุควบคุม เช่นผลิตภัณฑ์แก้ฝ้า น้ำยาย้อม</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style3" lang="TH"> ผม ต้องแสดงทะเบียนเครื่องสำอาง ครั้งที่ผลิต และวัน เดือน ปี ที่ผลิต</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
2.6<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span><span class="style4">ควรเลือกซื้อเครื่องสำอางที่มีขนาดเหมาะสม ไม่ควรซื้อขนาดใหญ่จนต้องใช้เป็น</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style3" lang="TH"> เวลานาน เพราะเครื่องสำอางอาจจะเสื่อมคุณภาพก่อน</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
2.7<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span><span class="style4">ไม่ซื้อเครื่องสำอางที่มีลักษณะเก่า หรือลักษณะ สี กลิ่น ความข้นเหนียว เปลี่ยนไป</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style3" lang="TH"> จากสภาพเดิม</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
2.8<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span><span class="style4">เพื่อป้องกันอันตรายจากการแพ้เครื่องสำอาง ควรมีการทดสอบเครื่องสำอางก่อน</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style3" lang="TH"> ใช้ โดยทดสอบกับผิวหนังบริเวณท้องแขน หรือหลังใบหู ทิ้งไว้โดยไม่เช็ดออกหรือล้าง ตรวจผลการทดสอบ เมื่อครบ </span><span class="style3">24 ชั่วโมงหรือ 48 ชั่วโมง ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น ผื่นคัน ไม่ควรใช้เครื่องสำอางนั้น </span><br />
<span class="style10">3. การเลือกการบริการ</span> <span class="style18"> </span><span class="style4" lang="TH"><br />
ผู้บริโภค นอกจากจะต้องจ่ายเงิน ไปเพื่อซื้อสินค้าต่างๆ แล้ว ยังต้องจ่ายเงิน เพื่อรับบริการต่างๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น </span> <span class="style4">3 </span><span class="style4" lang="TH">ประเภท ได้แก่ บริการทางกาย บริการทางจิต และบริการทางสังคม บริการเหล่านี้มีทั้งของภาครัฐและเอกชน การเลือกรับบริการต่างๆ ผู้บริโภคต้องศึกษาข้อดีข้อเสีย และเลือกรับบริการ ที่คุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายไปเพื่อบริการนั้นๆ </span> <span class="style4"> <strong> </strong></span><span class="style3" lang="TH"><br />
จะเห็นได้ว่า องค์ประกอบในการส่งเสริมสุขภาพกาย มีหลายปัจจัย บุคคลควรรู้จักดูแลตนเอง เพื่อป้องกันการเกิดการเจ็บป่วย ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็มีนโยบายในการป้องกัน <br />
การเจ็บป่วยของประชาชน เช่น การออกกฎหมาย เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค แต่เมื่อบุคคลมีอาการผิดปกติ ก็ควรไปรับบริการทางการแพทย์</span><span class="style3"> สัญญาณที่เตือนให้รู้ว่าควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษามีดังนี้ </span> <span class="style4"> <br />
1.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> เจ็บปวดมากผิดปกติที่ส่วนใดๆของร่างกาย เช่น ศีรษะ ท้อง และแขน ขา ถ้าอาการ</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style3" lang="TH">เจ็บปวดนี้เป็นบ่อย ก็ไม่ควรเพิกเฉย หรือข่มอาการผิดปกติไว้ และไม่ควรรับประทานยาแก้ปวด ควรรับการตรวจรักษาที่ถูกต้อง</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
2.</span><span class="style4"> อ่อนเพลีย ไม่ใช่เมื่อยล้าหลังจากทำงานหนัก แต่รู้สึกเพลียตลอดเวลา มักรู้สึกได้ชัด </span> <span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style3" lang="TH"> ตั้งแต่เริ่มตื่นนอนในตอนเช้า ซึ่งแสดงถึงความเสื่อมของร่างกาย ความเครียดทางอารมณ์ และ การสูญเสียพลังงาน ซึ่งอาจจะเกิดจากหลายสาเหตุ</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
3.</span><span class="style4"> น้ำหนักตัวเปลี่ยน ทั้งมากขึ้น และลดเร็วผิดปกติ</span><span class="style3"> ถ้าไม่ทราบน้ำหนัก ก็ต้องสังเกต </span><span class="style3" lang="TH"> ความอ้วนหรือผอมลงจากเครื่องแต่งกาย ซึ่งมักแสดงถึงความผิดปกติทางกายอย่างใดอย่างหนึ่ง</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
4.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> มีไข้ หรือตัวร้อน ปกติจะรู้สึกได้เอง ถ้าไม่แน่ใจควรวัดปรอทวัดไข้ การมีไข้เป็น</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style3" lang="TH"> สัญญาณเตือนว่ามีเชื้อโรคเข้าไปในร่างกาย</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
5.</span><span class="style4"> เลือดออก ทางผิวหนัง จมูก ท่อปัสสาวะ ทวารหนัก และทางอื่นจากร่างกาย</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
6.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> อาหารไม่ย่อย เป็นระยะเวลานานหลายวัน และเป็นบ่อยๆ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน </span> <span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style3" lang="TH">ท้องอืด จุกเสียดท้อง</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
7.</span><span class="style4"> นอนไม่หลับ นับเป็นสัปดาห์ๆ ไม่ควรใช้ยานอนหลับ</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
8.</span><span class="style4"> ผิวหนังเปลี่ยนแปลง มีผื่น ตุ่ม หรือสีเปลี่ยนไป เช่น หน้าขาวซีด ขาว เหลือง ซึ่งอาจ</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style3" lang="TH">เป็นอาการของดีซ่านได้ เป็นต้น</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
9.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> บุคลิกเปลี่ยนแปลง เกือบเป็นคนละคน เช่น เคยสุภาพเรียบร้อย ก็กลายเป็นคนก้าวร้าว </span> <span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><span class="style3" lang="TH">ดุดัน ฉุนเฉียว แต่ตนเองมักจะทราบได้ยาก มักมีบุคคลอื่นสังเกตได้ก่อน</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> 10.</span> <span class="style4"> สายตาผิดปกติ เช่น พร่ามัว เห็นของเป็นสองสิ่ง ปวดตา</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
11.</span><span class="style4"> บวมตามส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น ข้อ ท้อง แขน ขา</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
12.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> มีก้อนเนื้อ บนผิวหนัง หรือใต้ผิวหนัง และโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่เจ็บปวด</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
13.</span> <span class="style4"> หายใจลำบาก หรือเหนื่อยง่าย แม้ออกแรงเพียงเล็กน้อย</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
14.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> ไอถี่ และเป็นเวลานานๆ ในแต่ละครั้ง</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
15.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> เจ็บคอ วันหรือสองวัน</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
16.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> เบื่ออาหาร กลืนอาหารลำบาก หรือไม่รู้สึกหิวอาหาร</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
17.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> กระหายน้ำมาก โดยเฉพาะร่วมกับปัสสาวะมาก หรือปัสสาวะปวดขัด</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
18.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> มึนงง วิงเวียน เป็นลม และหมดสติบ่อยๆ</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
19.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> ท้องผูก ท้องเดิน เป็นเวลานาน</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span> <span class="style4"> <br />
20.<span style="font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span> <span class="style4"> ปวดศีรษะทั้งมาก และเล็กน้อย จากสาเหตุที่มีมากมาย</span><span style="font-family: "MS Sans Serif"; font-size: 10px;"> </span><br />
<span class="style3" lang="TH"> ดังนั้นบุคคล จึงควรหมั่นดูแลสุขภาพ ด้วยการรับประทานอาหารที่เหมาะสม มี การออกกำลังกายและพักผ่อนที่สมดุล และสังเกตความผิดปกติของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะได้รับการตรวจรักษาที่ทันท่วงที อันจะนำไปสู่การส่งเสริมสุขภาวะทางกายให้อยู่อย่างแข็งแรงยืนนาน </span>einghttp://www.blogger.com/profile/16631351927710035216noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3412673156837273380.post-9738175905003497932010-12-20T06:05:00.001-08:002012-02-26T22:48:08.263-08:00ระบายความในใจeinghttp://www.blogger.com/profile/16631351927710035216noreply@blogger.com0